รีวิวเกม

[รีวิว] Final Fantasy VII Rebirth – สุดยอดเกมมาสเตอร์พีซที่ต้องเล่น!

ดำดิ่งสู่การผจญภัยของ Cloud และผองเพื่อน

ผู้เขียน : Youryu

Final Fantasy VII Rebirth เป็นเกมภาคต่อของ Final Fantasy VII Remake ที่ผู้เล่นจะได้ติดตามการผจญภัยของ Cloud และผองเพื่อนเพื่อตามล่า Sephiroth บนแผนที่ที่มีสเกลใหญ่ขึ้น พร้อมสำรวจประวัติเบื้องหลังของตัวละครต่าง ๆ ที่การผจญภัยในครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่าเดิมสมกับการรอคอยอย่างแน่นอน

และในโอกาสที่ผู้เขียนได้เข้าไปผจญภัยในเรื่องราวที่เข้มข้นภายในเกม Final Fantasy VII Rebirth มาแล้ว และผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะมานำเสนอรีวิวเกมที่น่าสนใจให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ

อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 และถ้าหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยหลังจากที่รีวิวเผยแพร่ไปแล้วก็เป็นได้ครับ

กราฟิกสวยงามที่หลายคนจะต้องยอมเล่นโหมด 4K แทนโหมด 60FPS อย่างแน่นอน

ในประเด็นของกราฟิกนั้นผู้เขียนได้ทดลองเล่นทั้ง 2 แบบ โดยผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่าเกมนี้จะเป็นเกมแรกที่ผู้เล่นหลาย ๆ คนจะยอมเล่นในโหมดคุณภาพอย่างแน่นอน เพราะในโหมดคุณภาพนั้นภาพจะมีความคมชัดมากกว่าโหมดประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามในโหมดประสิทธิภาพนั้นหลังจากที่มีการอัปเดตแพทช์ Day One แล้วผู้เขียนก็มองว่าคุณภาพกราฟิกนั้นดีขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพทช์ในระดับที่เห็นได้ชัดเจน แต่ก็ต้องยอมรับว่าโหมดคุณภาพยังให้ภาพที่คมชัดกว่าพอสมควร และถึงแม้ว่าความลื่นไหลจะตกลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสการเล่นเกมนั้นเสียลงไปเลยแม้แต่น้อย ตัวอย่างที่อยากจะยกก็คือผู้เขียนเล่นเกมแอ็กชั่นไม่เชี่ยวชาญเท่าไหร่ยังสามารถกดปกป้องแบบสมบูรณ์ได้ค่อนข้างบ่อยครั้ง ซึ่งค่อนข้างเป็นการการันตีได้ว่า การเล่นในโหมดคุณภาพไม่ได้ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเล่นเกมเท่าไหร่นักแม้ว่าภาพจะมีค่าเฟรมเรตน้อยกว่าก็ตาม

อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนค่อนข้างประทับใจและถือว่าเป็นไม้เด็ดของผู้พัฒนาเกมนี้ก็คือ การจัดแสงเงาภายในฉากเกมเพลย์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ โดยแสงเงานี้ได้ทำให้โมเดลตัวละครในฉากทั่ว ๆ ไปดูดีขึ้นอีกมากโข

องค์ประกอบต่อมาที่ผู้เขียนประทับใจเป็นอย่างมากก็คือ การจัดวางองค์ประกอบของภาพในฉากคัทซีนแต่ละฉากนั้นถือว่าสวยงามมาก ๆ แม้ว่าผู้เขียนจะไม่รู้จักหลักการการวางองค์ประกอบภาพเท่าไหร่นัก แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าในทุก ๆ ฉากมีการเลือกมุมกล้องและการจัดวางตัวละครให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้เราได้เห็นภาพสวย ๆ ตลอดเวลา ซึ่งจุดนี้เองทำให้อารมณ์ร่วมในแต่ละฉากนั้นสูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว  และผู้เขียนกล้าพูดเลยว่าผู้เล่นจะได้ภาพสวย ๆ มาตั้งเป็นวอลล์เปเปอร์ อย่างแน่นอน

เนื้อเรื่องที่ร้อยเรียงได้น่าสนใจราวกับดูวงออเคสตร้าบรรเลงเพลง

ประเด็นต่อมาที่ต้องพูดถึงก็คือ เนื้อเรื่องภายในเกม Final Fantasy VII Rebirth ที่บอกได้เลยว่าทำออกมาไม่ทำให้แฟนเกมที่รอคอยเกมนี้ผิดหวังอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าผู้เขียนคงจะลงลึกในรายละเอียดของเนื้อเรื่องไม่ได้เพราะไม่อยากสปอยล์จนทำให้ผู้เล่นเสียอรรถรสในการเล่นเกม แต่สิ่งที่ผู้เขียนพูดได้ก็คือการเล่าเรื่องภายในเกมนี้คล้าย ๆ กับการดูวงดนตรีออเคสตร้าขนาดใหญ่ที่กำลังบรรเลงสุดยอดเพลงมาสเตอร์พีซให้เราได้ฟัง

ตลอดการเล่นเกมนี้ผู้เล่นจะได้พบกับเรื่องราวที่ทั้งเข้มข้นและผ่อนคลายสลับกันไปมาอย่างลงตัว ในบางช่วงจังหวะเราได้เจอกับเรื่องราวที่ทำให้เราต้องตึงเครียดและใช้ความคิดอยู่มาก หลังจากนั้นสักพักบรรยากาศของเกมก็จะผ่อนคลายลงด้วยเนื้อเรื่องหรือมุกตลกของตัวละครที่แทรกเข้ามาในจังหวะที่พอดิบพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป ในขณะเดียวกันช่องว่างในการสลับการเล่าเนื้อเรื่องระหว่างเบากับหนักนี้ก็ไม่ทำให้ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องขาดหายไปแต่อย่างใด และยิ่งผู้เขียนได้เล่นไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าเนื้อเรื่องก็จะเริ่มทวีความเข้มข้นมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งจุดนี้เองผู้เขียนคารวะเลยว่ามันคือกลวิธีการเล่าเรื่องที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่ทำให้แฟนเกม Final Fantasy VII Rebirth จะต้องประทับใจ

นอกจากนี้ตลอดเรื่องราวที่เราได้ติดตามจะมีการสอดแทรกกิมมิกบางอย่างเข้ามาเรื่อย ๆ ให้เราได้ค่อยค่อยเกิดความสงสัยใคร่รู้ถึงคำตอบอยู่ตลอดเวลา หลาย ๆ อย่างอาจจะทำให้แฟนเกมดั้งเดิมหวนคิดถึงวันวานอันหวานหอมพร้อมกับเกิดความตื่นเต้นไปในเวลาเดียวกัน ในขณะเดียวกันผู้เล่นที่อาจจะไม่เคยเล่นเกมต้นฉบับมาก่อนก็จะค่อย ๆ เข้าใจเรื่องราวที่แอบสอดแทรก หรือปมปริศนาที่วางไว้ได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ ซึ่งถ้าหากจะให้เปรียบเทียบ ผู้เขียนมองว่าทางผู้เขียนบทไม่เร่งรีบให้ผู้เล่นจะต้องไปถึงจุดหมายปลายทางของเกม เหมือนกับการกินอาหารที่ไม่ได้ต้องการให้เรารีบกินให้หมดจาน แต่ต้องการให้เราค่อย ๆ ละเมียดละไมค่อย ๆ ลิ้มรสไปทีละคำโดยแต่ละคำก็จะมีรสชาติบางอย่างสอดแทรกให้เราได้เกิดความตื่นเต้น และเมื่อเรากินจนหมดจาน ซึ่งหมายถึงเมื่อเราเล่นเกมจบ เราก็จะได้พบกับรสชาติที่สมบูรณ์แบบนั่นก็คือตอนจบของเกมนี้นั่นเอง

นอกเหนือจากเควสหลักแล้ว เควสย่อยต่าง ๆ ของเกมนี้ก็ถูกเขียนออกมาได้อย่างสวยงามและน่าติดตามไม่แพ้กับเควสหลักเลยแม้แต่น้อย โดยอารมณ์ของแต่ละเควสก็จะมีหลากหลายแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ดราม่าน้ำตาแตก ตลกขำปอดโยก ไปจนถึงซีเรียสหัวตึง (นิด ๆ) เลยทีเดียว โดยผู้เขียนมองว่าผู้พัฒนาเกมสามารถร้อยเรียงเรื่องราวทั้งหลักทั้งรองให้ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ตัวเกมยังมีการเก็บรายละเอียดดีมาก แม้จะเล่ามากไม่ได้แต่บอกเลยว่ามีฉากและช็อตที่ทำให้เราหัวเราะได้และประทับใจได้อยู่ตลอดเวลา แถมผู้พัฒนามีการสอดแทรกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จนในหลายหลายครั้งทำให้เรารู้สึกผูกพันและหลงรักตัวละครที่แม้จะเป็น NPC ที่ไม่มีชื่อในเวลาสั้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ทุกคนระวังก็คือ หากเรากดข้ามเนื้อเรื่องไป เราอาจจะพลาดช็อตสำคัญไปจำนวนมาก และอาจจะทำให้เราต่อเนื้อเรื่องไม่ติดเลยทีเดียวเพราะการกดข้ามเนื้อเรื่องหนึ่งครั้ง ตัวเกมจะข้ามเนื้อหาไปยาวมาก ๆ ถือว่าเป็นจุดที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผู้เขียนขอแนะนำว่าไว้กด Skip ตอนที่เล่นรอบที่ 2-3 จะดีกว่าครับ

องค์ประกอบของเกมที่สมบูรณ์แบบ มีดีกว่าการลุ้นว่าใครจะตาย

แม้ว่าประเด็นหลักของเกมในภาคนี้ที่หลายคนให้ความสนใจก็คือตัวละครหลักของเราคนหนึ่งภายในทีมนั้นจะตายหรือไม่ ซึ่งผู้เขียนบอกเลยว่าหากใครกำลังสนใจแต่ประเด็นนี้อยู่ ก็ขอให้วางข้อสงสัยนี้ไว้ข้าง ๆ เสียก่อน เพราะผู้เขียนยืนยันได้เลยว่าองค์ประกอบภายในเกมนี้มีดีมากเพียงพอที่จะทำให้คุณลืมไปเลยว่าคุณจะต้องสนใจว่าใครตาย

เริ่มต้นจากเกมเพลย์แอ็กชั่นที่บอกได้เลยว่าทำออกมาได้เดือดกว่าเดิม แถมยังโดดเด่นมากยิ่งขึ้นด้วยระบบ Synergy ที่ทำให้การเล่นเกมนี้สนุก โดยระบบนี้ไม่ได้ส่งผลแค่ความมันส์เท่านั้นแต่ยังเป็นหนึ่งในระบบที่มีประโยชน์อย่างมากในเชิงกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Synergy เพื่อแบ่งเกจ ATB ให้ถี่ขึ้นในช่วงที่กำลังอัญเชิญมนต์อสูรเพื่อให้เราใช้ท่าของมนต์อสูรได้บ่อยขึ้น หรือการใช้ท่า Synergy เพื่อบัฟให้ตัวละครของผู้เล่นแข็งแกร่งมากขึ้นในการต่อสู้กับบอส เป็นต้น ซึ่งจุดนี้เองทำให้ระบบ Synergy ยกระดับเกมเพลย์ของ Final Fantasy VII Remake ไตรภาคนี้ขึ้นมาได้อีกหลายขั้นเลยทีเดียว

นอกจากนี้ เกมเพลย์กึ่ง Open World ของ Final Fantasy VII Rebirth ยังเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่น่าสนใจ และจะทำให้ผู้เล่นถูกดูดเวลาชีวิตอย่างแน่นอน เพราะภายในเกมนี้จะมีภูมิภาคให้เราได้ออกสำรวจอยู่หลากหลายภูมิภาคด้วยกัน โดยแต่ละภูมิภาคก็จะมีเมืองและพื้นที่ในแบบฉบับของตนเองที่ถูกออกแบบมาได้เป็นอย่างดี เช่น พื้นที่ของ Grassland ที่เราจะได้เห็นต้นไม้และทุ่งหญ้าเขียวขจีสวยงามสุดลูกหูลูกตา ในขณะที่พื้นที่ของ Junon ก็จะเป็นพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็จะมีแต่ภูเขา และพื้นดินสีน้ำตาล ในส่วนของ Costa de Sol ที่มีกลิ่นอายคล้าย ๆ เกาะฮาวายก็จะเป็นพื้นที่ที่เป็นทะเล มีโอเอซิสสวยงามให้เราได้ชมกันอยู่เรื่อย ๆ ทำให้การออกผจญภัยในพื้นที่แต่ละพื้นที่นั้นสร้างความตื่นเต้นและแปลกตาแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงส่งผลให้ผู้เล่นไม่เบื่ออย่างแน่นอน (ผู้เล่นสามารถเดินทางกลับไปพื้นที่เก่า ๆ ได้ด้วย แต่ต้องผ่านเนื้อเรื่องหรือเควสบางอย่างเสียก่อน)

นอกจากนี้ในการสำรวจพื้นที่กึ่ง Open World นี้แล้ว เกมนี้ยังมีกิจกรรมให้เราได้ทำจำนวนมากซึ่งระบบดังกล่าวจะเรียกว่าระบบ World Intel ที่ผู้เล่นจะได้ช่วยเหลือ Chadley ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ โดยในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่การเล่น Combat Simulator เท่านั้น โดย Chadley จะขอให้เราออกสำรวจโลกไปยังพื้นที่ที่กำหนดต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลมาให้เขา ไม่ว่าจะเป็นการตามหา Lifesprings, การตามหาที่อยู่ของ Moogle และเล่นมินิเกมเพื่อรับของรางวัล การออกตามหาไอเทมที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยการให้ Chocobo ดมกลิ่น การตามหา Sanctuary เพื่ออัปเกรดมนต์อสูรของเรา การทำภารกิจ Combat Assignment ที่เราจะต้องเอาชนะศัตรูให้ได้แบบมีเงื่อนไขเพื่อพิสูจน์ฝีมือว่าเราแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น ซึ่งที่ผู้เขียนพูดมาทั้งหมดนี้ก็จะไม่ได้จำกัดแค่เกมเพลย์ต่อสู้เท่านั้น แต่จะมีเกมเพลย์ที่หลากหลายทั้งการลอบเร้น การเล่นมินิเกมไล่จับ เกมกดปุ่มตามจังหวะ เป็นต้น ทำให้การเล่นเกมนี้ให้รสชาติที่หลากหลายมาก ๆ โดยผู้เขียนการันตีได้เลยว่าหากใครต้องการเล่นเกมนี้ให้ครบ 100% เตรียมเวลาไว้ไม่ต่ำกว่า 100 ชั่วโมงอย่างแน่นอน

นอกจากนี้การอัปเกรดตัวละครก็ยังมีความหลากหลายแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้างเล็กน้อย โดยเราจะได้อัปเกรดตัวละครด้วยการสวมใส่ไอเทม หรือสวมใส่ Materia รวมไปถึงเราสามารถเรียนสกิลใหม่ ๆ ได้ด้วยการสวมใส่อาวุธและใช้สกิลของอาวุธนั้นบ่อย ๆ เพื่อให้เราเชี่ยวชาญในสกิลนั้น ๆ โดยจะส่งผลให้เราสามารถใช้สกิลของอาวุธดังกล่าวได้แม้ว่าจะเปลี่ยนอาวุธไปใช้ชิ้นอื่นแล้วก็ตาม นอกจากนี้ยิ่งผู้เล่นสะสมค่าความสามารถของอาวุธได้มากเท่าไหร่เราก็จะสามารถเลือกสกิลพิเศษติดอาวุธได้ หลากหลายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งระบบการอัปเกรดที่คล้าย ๆ กับแผ่น Sphere (ซึ่งเกมนี้เรียกว่า Folio) ที่จะมีเส้นทางให้ผู้เล่นที่เลือกอัปเกรดตัวละครอยู่มากพอสมควร ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ทั้งหมดที่มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เราสามารถปั้นตัวละครได้หลากหลายทาง ซึ่งผู้เขียนมั่นใจว่าในชุมชนเกมจะมีการออกมาพูดถึง Build ของตัวละครที่แตกต่างกันไปหลายทางอย่างแน่นอน

Queen’s Blood สุดยอดมินิเกมการ์ดใน Final Fantasy VII Rebirth ที่หลายคนจะต้องหลงรัก

Queen’s Blood เป็นสิ่งที่ผู้เขียนและผู้เล่นหลายคนให้ความสนใจมาตลอดตั้งแต่มีการเปิดตัวออกมาครั้งแรก ซึ่งในการรีวิวเกมครั้งนี้ผู้เขียนได้เล่นมินิเกมนี้หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งผู้เขียนมองว่ามินิเกมนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของเกม Final Fantasy VII Rebirth ที่จะถูกพูดถึงในชุมชนเกมอย่างแน่นอน

จุดเด่นของมินิเกมนี้คือเป็นมินิเกมที่เราสามารถเข้าใจได้ง่ายมาก ๆ เพราะกติกาหลักก็คือเราต้องลงมอนสเตอร์เพื่อชิงพื้นที่และสะสมแต้มในแต่ละแถวให้ได้มากกว่าคู่แข่ง แต่ในความเข้าถึงง่ายนี้เองทำให้มินิเกมนี้เต็มไปด้วยความท้าทายที่หลายคนอาจจะเผลอปาจอยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการ์ดที่มีเอฟเฟกต์หลากหลายรูปแบบที่ผู้เล่นจะได้จัดในรูปแบบที่ตัวเองถนัด ซึ่งผู้เล่นสามารถสะสมการ์ดผ่านการซื้อตามร้านหรือเล่นเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้ อีกทั้งการวางกลยุทธ์ในการลงการ์ดก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่การวางพลาดครั้งเดียวอาจจะทำให้เราพ่ายแพ้เลยก็ได้

แต่สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจมากยิ่งขึ้นก็คือ Queen’s Blood ไม่ได้เป็นแค่มินิเกมให้เราได้เล่นเฉย ๆ แต่มินิเกมมีเนื้อเรื่องเป็นของตนเอง โดยมีทั้งเควสหลักและเควสรองให้เราได้ดื่มด่ำไปกับมัน และต่อให้ไม่ได้อยู่ในเควส มินิเกมนี้ก็จะวนเวียนอยู่รอบตัวเราอยู่เสมอ ซึ่งผู้เขียนยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของเกมที่ผู้เขียนประทับใจมากที่สุด จนผู้เขียนอยากจะบอกทีมผู้พัฒนาเกมว่า “ช่วยต่อยอด Queen’s Blood ให้มีโหมดออนไลน์ได้ไหม!?”

สรุปรีวิว

สำหรับผู้เขียนมองว่า Final Fantasy VII Rebirth เป็นอีกหนึ่งเกมมาสเตอร์พีซที่ควรคู่แก่การยกนิ้วให้ทั้งในเรื่องของเนื้อเรื่องที่น่าประทับใจ รายละเอียดของเกมที่มาแบบจัดเต็มไม่เกรงใจเวลานอนของผู้เล่น ไปจนถึงมินิเกม Queen’s Blood ที่ถูกทำออกมาได้ละเอียดละออจนกลายเป็นมินิเกมที่โดดเด่นสุด ๆ จนผู้เขียนบอกได้เลยว่าผู้เล่นไม่ควรพลาดเกมนี้อย่างแน่นอน

ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 9.5 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ

จุดเด่น

  • กราฟิกที่สวยงาม การใช้แสงเงา และองค์ประกอบภาพทำให้คัทซีนที่เราได้เห็นสวยงามราวกับงานศิลปะ
  • เกมเพลย์แอ็กชั่นผสมผสานกับการออกคำสั่งยังคงเล่นได้สนุกมือเช่นเคย
  • คอนเทนต์ที่มีให้เราได้เล่นแบบจุใจ
  • เพลงประกอบที่สุดยอดแบบปฏิเสธไม่ได้
  • ระบบ Synergy ที่ทำให้เกมนี้สนุกขึ้นไปอีกขั้น
  • Queen’s Blood คือสุดยอดมินิเกม

ข้อสังเกต

  • พื้นผิวระยะใกล้ดูเบลอเหมือนตอน Final Fantasy VII Remake แม้จะเล่นโหมดคุณภาพก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก ๆ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Bandai Namco และ Square Enix ที่เอื้อเฟื้อและสนับสนุนเกมมาให้เราได้รีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…

สำหรับใครที่สนใจก็สามารถสั่งซื้อเกมได้ที่ :  [คลิก] 

Now Loading

ชอบเพลง Metal | บันเทิงกับการถ่ายรูป | ของโปรดคือเนื้อย่าง | เล่นเกมบ้างบางเวลา
Back to top button

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save