เกมโอเพ่นเวิร์ลได้พัฒนามาไกลมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยให้อิสระในการสำรวจมากขึ้น แต่เกมใดละที่จะมีครบ ความท้าทายที่สุด, เรื่องราวที่ดีที่สุด, ตัวละครที่ดีที่สุด, การยึดครองพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ และหาวิธีที่ไร้สาระเพื่อเอาชนะศัตรู ดังนั้นโดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป นี่คือตัวเลือเกมโอเพ่นเวิลด์ 10 อันดับแรกที่ดีที่สุด
[อันดับที่ 10] Marvel’s Spider-Man: Miles Morales
บรรยากาศมหานครนิวยอร์กช่วงเทศกาลคริสต์มาสถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดสถานที่หนึ่ง และ Insomniac ได้ทำงานที่เหลือเชื่อในการสร้างบรรยากาศที่มีเสน่ห์ใน Marvel’s Spider-Man: Miles Morales ทุกแง่มุมของการติดตาม Spider-Man นั้นยอดเยี่ยม การออกแบบภารกิจ และเรื่องราวนั้นแข็งแกร่งกว่าภาคไหนๆ ใน Miles Morales การมุ่งเน้นไปที่เรื่องราว และภารกิจที่เลือกสรรมากขึ้นทำให้การเดินทางของ Miles ส่งผลต่อผู้เล่น และตัวละครอย่างมาก
เป็นการออกโชว์เดี่ยวครั้งแรกที่ยอดเยี่ยมสำหรับ Miles ด้วยตัวเลือกการห้อยโหน, การต่อสู้ที่ปรับปรุงให้ราบรื่นยิ่งขึ้น เรื่องราวที่น่าตื่นเต้น และภารกิจสำคัญที่ต้องทำ รวมไปถึงการเล่นที่ลื่นไหลบน PS5 และ PS4 Insomniac ก็จับภาพความมหัศจรรย์ในโลกแห่งความเป็นจริงของนิวยอร์กแล้วใส่มันเข้าไปใน Spider-Man: Miles Morales ให้ผู้เล่นได้สัมผัสกับช่วงเวลาพิเศษนี้ของปีด้วย
[อันดับที่ 9] Horizon Forbidden West
Horizon Forbidden West ปรับปรุงประสบการณ์ Zero Dawn ในทุกๆ ด้าน การเดินทางครั้งใหม่ของ Aloy ประกอบไปด้วยโลกที่เต็มไปด้วยภารกิจย่อยๆ ที่มีความหมาย ซึ่งตัวละครแต่ละตัว และเรื่องราวของพวกเขาจะนำเสนอจุดเริ่มต้นที่ไม่เหมือนใครในโลก กับโลกในเกมที่ให้ความรู้สึกเหมือนมีชีวิต แม้กระทั่งวิวัฒนาการรอบๆ Aloy และเพื่อให้ภารกิจรองมีความน่าเล่นยิ่งขึ้น การรบแบบกองโจรได้ขยายขอบเขตของโลกของ Aloy ไปสู่ดินแดนต้องห้ามทางทิศตะวันตก โดยมีสถานที่ที่น่าจดจำมากมายซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในโลก และซากอารยธรรมเก่าที่พังทลายลง
การปีนข้ามเส้นออกนอกเส้นทางอาจไม่อิสระเต็มที่เหมือนเกมอื่นๆ ในการจัดอันดับครั้งนี้ แต่ความสามารถในการค้นหาใต้น้ำ และแม้กระทั่งบนท้องฟ้าก็เชื้อเชิญให้ผู้เล่นไปค้นหาได้อย่างมาก ซึ่งเป็นการเพิ่มความสนุกสนานให้กับ Horizon Forbidden West ที่สร้างขึ้นจากรากฐานของเกมแนวโอเพ่นเวิลด์อื่นๆ รวมถึง Zero Dawn ก็ถือว่าเป็นอะไรที่น่าทึ่งในช่วยผลักดันเนื้อเรื่องไปข้างหน้า และสร้างการผจญภัยที่น่าหลงใหลด้วยตัวของเกมเอง
[อันดับที่ 8] Metal Gear Solid 5: The Phantom Pain
Metal Gear Solid 5 เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของเกมโอเพ่นเวิร์ลที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย มีทางเลือกมากกว่าหนึ่งวิธีในทุกสถานการณ์ และผลลัพธ์ที่ได้คือความรู้สึกอิสระในการเลือกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
สิ่งดีที่สุดคือมันสามารถลองเล่นอะไรแปลกๆ คล้ายแซนด์บ็อกซ์ในสนามเด็กเล่น แต่ด้วยซาวด์แทร็กที่ยอดเยี่ยม และแปลกประหลาดในแบบโคจิมะที่มากเกินพอที่จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกเกมมันพิเศษยิ่งขึ้น แม้ว่าเรื่องราวจะยังไม่จบในท้ายที่สุด และไม่สามารถรู้สึกว่าจบเกมโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่างในเกม แต่อิสรภาพที่มอบให้ทำให้เรื่องราวในเกมสนุกอย่างน่าเหลือเชื่อ
[อันดับที่ 7] Elder Scrolls V: Skyrim
Skyrim มีอยู่ในเกือบทุกแพลตฟอร์มเท่าที่เราจะจินตนาการได้ จากจุดเริ่มต้นอันต่ำต้อยในปี 2011 ที่เปิดตัวบน PC, PS3 และ Xbox 360 รวมถึง Amazon Alexa มันกำหนดมาตรฐานใหม่ทั้งหมดสำหรับการผจญภัยในโลกโอเพ่นเวิร์ล และยังคงน่าทึ่งที่ในเวอร์ชั่น PC ยังมีชุมชน Mod ที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งตลอดกาล และด้วยการอัปเกรดล่าสุดเป็น PlayStation 5 และ Xbox Series X ทำให้ Skyrim ยังน่าเล่นเสมอมา
ด้วยเรื่องราวที่ดึงดูดใจ การใช้ชีวิตในโลกโอเพ่นเวิร์ล และเนื้อหามากกว่าที่ใครๆ จะรู้ว่าต้องทำอะไร The Elder Scrolls 5: Skyrim ยังคงยืนหยัดอยู่จนทุกวันนี้ในฐานะหนึ่งในเกม RPG แนวโอเพ่นเวิร์ลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คนๆ หนึ่งจะใช้เวลากับมันได้อย่างเต็มที่
[อันดับที่ 6] Fallout: New Vegas
Fallout: New Vegas เป็นเกมโอเพ่นเวิร์ลชั้นนำที่ถูกยกขึ้นมาพูดคุยกันตลอด 12 ปีที่ผ่านมา Fallout ได้ลบภาพเดิมๆ ของตัวเองในความทรงจำคนส่วนใหญ่ แล้วพาเราเข้าสู่เรื่องราวที่น่าทึ่งยิ่งขึ้น New Vegas สร้างจากรากฐานของ Fallout 3 ของ Bethesda พาเราไปสู่ฝั่งตะวันตกที่มีสีสัน และหลากหลายมากขึ้นของสหรัฐอเมริกาหลังนิวเคลียร์ถล่ม และนำเราไปสู่เส้นทางที่มีความขัดแย้งทั้งใหญ่และเล็ก
เราได้พบกับตัวละครที่ดีที่สุดของซีรีส์ Fallout และเริ่มต้นกับภารกิจง่ายๆ เพื่อเดินเรื่องไปสู่ใจกลางของสงครามที่ก่อตัวขึ้นระหว่าง New California Republic ประกาศจักรพรรดิโรมันองค์ใหม่ และเจ้าสัวคาสิโนอมตะเพื่อกำหนดชะตากรรมของนิวเวกัส ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีโลกในเกมไหนที่ให้รู้สึกว่าชีวิตยุ่งหรือเต็มไปด้วยเรื่องราว และอารมณ์ขันที่มืดมนได้ขนาดนี้
[อันดับที่ 5] Elden Ring
Elden Ring เป็นหนึ่งในเกมโอเพ่นเวิร์ลที่กล้าหาญ และแปลกใหม่ที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้ผู้เล่นสามารถค้นหาเส้นทางของตนเองได้โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากเครื่องหมายแผนที่ จุดอ้างอิง และภารกิจรองเลย
โลกของ The Lands Between ไม่ได้เพียงแค่มีขนาดมหึมาเท่านั้น แต่ยังหนาแน่นไปด้วยถ้ำ และสุสานใต้ดินให้ค้นหาต่อสู้กับบอสเพื่อพิชิต สมบัติล้ำค่าที่ต้องเปิดเผย และความท้าทายทุกรูปแบบที่ต้องเอาชนะ การเดินทางผ่าน Elden Ring ไม่ใช่เรื่องง่าย มีการสอนบทเรียนที่ยากลำบากกับการลงทัณฑ์ แต่มันก็ให้รางวัลที่น่าประหลาดใจ
[อันดับที่ 4] Red Dead Redemption 2
Red Dead Redemption 2 ได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อให้คุณสามารถดำเนินชีวิตตามแบบฉบับคาวบอยที่ชื่อ Arthur Morgan แม้ว่าเรื่องราวของ Morgan เป็นประสบการณ์ที่แต่งขึ้น แต่ความมหัศจรรย์ของ Red Dead Redemption 2 คือการที่โลกโอเพ่นเวิร์ลของเกมทำให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์ที่มีความหมาย ต้องขอบคุณโลกที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันนี้
ต้องการให้อาเธอร์ของคุณไปล่าสัตว์จริงๆหรือ? จากนั้นสนุกไปกับการสะกดรอยตาม ดักจับ และถลกหนังสัตว์หลายร้อยตัว พร้อมด้วยห่วงโซ่อาหารและนิสัยของพวกมันเอง หรือบางทีคุณแค่ต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศ และแกะสลักกระสุนของคุณข้างแคมป์ไฟ ก็ไม่มีคำตอบที่ผิด เป็นเพียงโลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับ และความมหัศจรรย์ที่ทำให้เราย้อนเวลากลับไปค้นพบโลกแห่งป่าตะวันตกด้วยตัวเราเอง
[อันดับที่ 3] Grand Theft Auto V
เกมที่ถูกส่งต่อสู่ยุค Xbox360 และ PS3 อย่างสมบูรณ์แบบ มรดก และอิทธิพลของ Grand Theft Auto V ยังคงรักษาสถานะอันทรงพลังไว้ในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะผ่านกี่แพลตฟอร์มหรือกี่ยุค GTA ก็ไม่เคยถูกละออกจากสปอตไลท์เลย ด้วยการอัปเดตที่น่าประทับใจอย่างสม่ำเสมอแบบที่ Grand Theft Auto Online ได้รับ
Grand Theft Auto V นั้นได้รับมรดกตกทอดคือเป็นความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณโครงสร้างสามตัวเอกที่นำเสนอการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ และความน่าหลงไหลของโลกที่เปิดกว้าง – Los Santos เต็มไปด้วยชีวิต สถานที่ที่น่าสนใจในการสำรวจ และจำนวนของแคมเปญ และใน GTA Online ก็มีแข่งขันไตรกีฬา ซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นเสมือนจริง คุณสามารถทำได้ทั้งหมด และอีกมากในตัวอย่างที่ดีที่สุดของโลกโอเพ่นเวิร์ลสมัยใหม่ในการเล่นเกม
[อันดับที่ 2] The Witcher 3: Wild Hunt
The Witcher 3 ได้สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับเกมโอเพ่นเวิร์ล ซึ่งเป็นเกมที่ยังมีเกมอื่นๆ มากมายที่ยากจะมาเทียบได้ตอนนี้ จากเนินเขาที่แห้งแล้งของ Velen ไปจนถึงถนนที่คึกคักของ Novigrad หรือทุ่งเขียวขจีของ Toussaint ของ Blood & Wine ทุกซอกทุกมุมของ The Continent เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะสังหารคุณ ความลับที่ต้องเปิดเผย และภารกิจย่อยหลายสิบชั่วโมง และมีความหมายในเนื้อเรื่องหลัก
เพิ่มแพ็กส่วนเสริมที่ดีที่สุดอีกสองชุดในการเล่นเกม แผนที่ใหม่ การอัปเกรด และของสะสม ทำให้คุณมีเหตุผลอีกมากมายที่จะสำรวจโลกแฟนตาซีที่พิเศษนี้ต่อ
[อันดับที่ 1] The Legend of Zelda: Breath of the Wild
Breath of the Wild คือการบรรลุผลสูงสุดตามคำมั่นสัญญาของซีรีส์ Zelda ซึ่งเป็นเหมือนแม่แบบที่วางไว้ครั้งแรกตั้งแต่สมัยของ Breath of the Wild ของ NES เป็นเกมง่ายๆ ที่เราจินตนาการว่าตัวเองเล่นเมื่อหลายปีก่อน ภาพที่จินตนาการไว้ในใจถูกระบายสีออกมาเป็นแบบศิลปะสมัยใหม่ ในรูปแบบสามมิติ และสามารถสำรวจโลกได้อย่างเต็มที่เล่นซ้ำได้ไม่รู้จบ
แม้ว่า Breath of the Wild จะออกมาในปี 2017 แต่เราก็ยังไม่เห็นเกมใดที่ใกล้เคียงกับการผสมผสานระหว่างเสน่ห์ อิสระ และแรงดึงดูด ก็รับประกันได้สำหรับการการผจญภัย และการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการเพิ่มพื้นผิวที่ปีนป่ายไปอีกมากมาย ทำให้เกมนี้เป็นเกมเปิดโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมหัศจรรย์ที่สุดในการจัดอันดับครั้งนี้เลย
และนี่คือ 10 อันดับเกมแนว Open-World ของเรา แล้วสำหรับเพื่อนๆ ละ 10 อันดับเกม Open-World ของคุณคือเกมอะไรบ้างอย่าลืมมาบอกให้เราได้รู้บ้าง เผื่อว่าเราจะตัดใจจาก 10 อันดับของเราบ้าง