รวมรุ่นมือถือที่สามารถเล่น Genshin Impact ได้
ผู้ให้บริการ : miHoYo Limited
ระบบที่ต้องการ : iOS 9.0 ขึ้นไป / Android 7.0 และสูงกว่า
ใครที่ชื่นชอบการเล่นเกมที่มาพร้อมกับลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์เอเชีย เชื่อว่าน่าจะต้องเคยผ่านตากับเกมอย่าง Honkai Impact และหลังจากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ตอนนี้พวกเขาก็ได้เตรียมที่จะปล่อยให้เราได้เล่นเกมตัวใหม่ที่ชื่อว่า Genshin Impact กันแล้ว และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมวันนี้เราจะมาพูดถึงเครื่องที่จะรองรับในการเล่นกันว่า จะมีหน้าตาแบบไหนกันบ้าง
ก่อนอื่นเราก็มาดูสเปคที่ทาง Official ได้ทำการประกาศมาก่อนดีกว่า โดยเริ่มกันที่สเปคสำหรับผู้เล่นมือถือทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Android หรือ iOS
สเปคที่แนะนำสำหรับ Android
– CPU: Snapdragon 845, Kirin 810 ขึ้นไป
– RAM: 4GB ขึ้นไป
– ระบบที่แนะนำ: Android 8.1 หรือขึ้นไป
สเปคขั้นต่ำที่รองรับสำหรับ Android
– รุ่นที่เข้ากันได้: อุปกรณ์ Arm v8a 64 bit
– RAM: 3GB ขึ้นไป
– ระบบที่รองรับ: แนะนำเป็น Android 7.0 ขึ้นไป
– พื้นที่ว่าง: ต้องมีพื้นที่ว่างในเครื่อง 8 GB
เราขอเว้นวรรคเอาไว้ตรงนี้ก่อนแล้วมาพูดถึงเครื่องที่รองรับสำหรับฝั่ง Android กัน ส่วนของทาง iOS เราจะขอพูดในลำดับถัดไป สำหรับสเปคที่ทางผู้พัฒนาเกมได้ยกมาให้เราได้เห็น ในส่วนของสเปคที่แนะนำจัดว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจพอสมควร ถามว่าทำไม … เพราะว่าการเลือกระบุชิปเซ็ตอย่าง Snapdragon 845 และ Kirin 810 อาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คนสับสนได้
อธิบายกันก่อนว่า Snapdragon 845 หากใครที่ติดตามกันมาก็จะทราบดีว่ามันเป็นชิปเซ็ตเรือธงที่ใช้งานกับมือถือที่เป็นเรือธงในช่วง 2 ปีที่แล้ว (แม้จะประกาศเปิดตัวในช่วงปลายปี 2017 แต่เริ่มใช้กันจริงจังในปี 2018 ฉะนั้นเราขอนับแค่ 2 ปี) หากให้นึกรายชื่อรุ่นแบบเร็ว ๆ ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวนี้และมีราคาถูกที่สุด แบบไม่ต้องนึกไปไกลก็คงจะเป็น Pocophone F1 มือถือสุดคุ้มที่เน้นสเปคไม่เน้นวัสดุนั่นเอง
งั้นเราข้ามไปดูอีกรุ่นที่ทางทีมงานนำมาวางไว้คู่กันอย่าง Kirin 810 สำหรับชิปเซ็ตรุ่นนี้เป็นของทาง Huawei ที่มีการนำมาใช้งานและกลุ่มเป้าหมายของมันมักจะถูกนำไปใส่กับมือถือระดับกลางเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามด้วยความที่ชิปเซ็ตไปเมื่อปี 2019 ช่วงกลางปี ทำให้มันมาพร้อมกับความสดใหม่ที่มากกว่า และในการทำงานก็แทบจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก โดยรุ่นที่นึกออกคงหนีไม่พ้นตัวของ Huawei Nova 5
ถัดมาเรามาดูในส่วนของสเปคขั้นต่ำที่รองรับที่ได้มีการระบุมาคือมือถือรุ่นไหนก็ตามที่มาพร้อมกับการใช้งานชิปเซ็ตที่มีสถาปัตยกรรมแบบ 64 bit จะสามารถเล่นได้ ซึ่งสำหรับมือถือที่ไม่ได้เก่าหลัก 4 ปีขึ้นไปยังไงในส่วนนี้ก็ไม่มีปัญหา (ต้องยอมรับกันตามตรงว่าฝั่ง Android หากเครื่องมีอายุเกิน 4 ปีแล้วไม่ใช่พวกเรือธงก็ยากที่จะเล่นเกมกราฟิกหนัก ๆ ในปัจจุบันได้)
เราขอข้ามส่วนของแรม 3GB ไปเลยเพราะมันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้แล้วสำหรับการเล่นเกมมือถือกราฟิกหนัก ๆ ในปัจจุบันที่ หากเครื่องมีแรมน้อยกว่า 3GB บางเกมแม้แต่จะดาวน์โหลดยังไม่สามารถทำได้ มาดูที่ระบบ Android ที่ระบุเอาไว้ว่า Android 7.0 Nougat สำหรับระบบตัวนี้ได้เปิดตัวเครื่องแรกในช่วงปี 2016 ค่อนไปทางปลายปี นับอายุรวมปีนี้ด้วยก็ปาเข้าไป 4 ปีแล้ว ซึ่งถ้าเป็นมือถือรุ่นที่เปิดตัวในช่วงปี 2015 หรือ 2016 ยังไงก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องกลับไปดูเรื่องของชิปเซ็ตด้วยว่ามันรองรับหรือไม่ ถัดไปเราจะยกรุ่นที่น่าจะเป็นแนวทางในการทำให้ผู้เล่นได้วางใจว่าเครื่องตัวเองจะเล่นได้หรือไม่มาให้ได้เห็นกัน
ASUS: Asus Zenfone Max Pro (M2), Asus Zenfone 5z
Huawei: Huawei Nova 5, Huawei nova 3, Huawei Y9 (2019)
Lenovo: Lenovo Z6
OPPO: Oppo A9 (2020), Oppo A5 (2020)
Samsung: Samsung Galaxy A9 (2018), Samsung Galaxy A30
Vivo: Vivo V5 Plus, Vivo Y11 (2019)
Xiaomi: Pocophone F1, Xiaomi Redmi Note 4, Xiaomi Redmi 7
นั่นก็คือรุ่นมือถือที่เรายกมาให้เห็นภาพคร่าว ๆ ว่ามันสามารถเล่นเกม Genshin Impact ได้ โดยที่แน่นอนว่าจะตัดรุ่นที่เป็นเรือธงออกไป รวมถึงรุ่นที่พึ่งจะทำการเปิดตัวใน 1 – 2 ปีที่มีราคาประมาณหมื่นบาทขึ้นไป ด้วยความที่ตัวเกมเป็นเกมที่ค่อนข้างที่จะมาพร้อมกับภาพกราฟิกที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ให้เหมาะกับปี 2020 ทำให้อาจจะลำบากเสียหน่อยสำหรับมือถือที่มีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงแค่การคาดการณ์และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เท่านั้น เมื่อถึงหน้างานจริงก็อาจจะลองดูด้วยตัวเองว่าสามารถเล่นได้อีกทีหรือไม่
ต่อไปเรามาดูในส่วนของสเปคสำหรับฝั่ง iOS กันบ้าง แน่นอนว่าทางทีมงานมีการระบุออกมาได้อย่างชัดเจนและง่ายต่อการเข้าใจมาก
สเปคที่รองรับสำหรับ iOS
– หนึ่งในรุ่นดังต่อไปนี้ iPhone 8 Plus, iPhone X, iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR, iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max, iPhone SE (gen 2), iPad Air (gen 3), iPad mini (gen 5), iPad Pro (gen 2) 12.9 นิ้ว, iPad Pro (gen 2) 10.5 นิ้ว, iPad Pro (gen 3) 11 นิ้ว, iPad Pro (gen 3) 12.9 นิ้ว, iPad Pro (gen 4) 11 นิ้ว, iPad Pro (gen 4) 12.9 นิ้ว
– ระบบที่รองรับ:iOS 9.0 ขึ้นไป
– พื้นที่ว่าง: ต้องมีพื้นที่ว่างในเครื่อง 8 GB
จากที่ดูแล้วเหมือนว่าตัวเกมจะมีความต้องการของระบบที่ไม่ได้บอกเอาไว้คือเรื่องของแรมสำหรับระบบ iOS แต่หากพิจารณจากรุ่นที่รองรับที่ต่ำสุดเป็นตัวของ iPhone 8 Plus ที่เปิดตัวในปี 2017 แต่ดันไม่มี iPhone 8 ที่เปิดตัวพร้อมกัน จึงพอจะสรุปได้ว่าตัวเกมจำเป็นที่จะต้องมีแรมอย่างน้อย 3GB ในการเล่น ซึ่งตัวของ iPhone 8 มีแรมเพียงแค่ 2GB จึงไม่สามารถที่จะรองรับการเล่นได้ ขณะที่ตัวของ iPhone 8 Plus มาพร้อมกับแรม 3GB นั่นเอง
ปิดท้ายด้วยสเปคสำหรับการเล่นบนพีซีที่มีการเปิดเผยออกมาให้เราได้ทราบเช่นกัน และน่าจะเป็นเกมไม่กี่เกมที่มาพร้อมกับเวอร์ชั่นพีซีสำหรับการเล่นแยก ๆ โดยไม่ต้องผ่าน Emulator ได้โดยตรง
สเปคพีซีที่แนะนำสำหรับการเล่น
– ระบบปฏิบัติการ: Windows 7 SP1 64-bit หรือ Windows 8.1 64-bit หรือ Windows 10 64-bit
– CPU: Intel Core i7 หรือเทียบเท่า
– RAM: 16GB
– การ์ดจอ: NVIDIA GeForce GTX 1060 6GB หรือรุ่นที่สูงกว่า
– DirectX เวอร์ชัน: 11
– พื้นที่ว่าง: ต้องมีพื้นที่ว่างอย่างน้อย 30 GB
สเปคพีซีที่ขั้นต่ำสำหรับการเล่น
– ระบบปฏิบัติการ: Windows 7 SP1 64-bit หรือ Windows 8.1 64-bit หรือ Windows 10 64-bit
– CPU: Intel Core i5 หรือเทียบเท่า
– RAM: 8GB
– การ์ดจอ: NVIDIA® GeForce® GT 1030 หรือรุ่นที่สูงกว่า
– DirectX เวอร์ชัน: 11
– พื้นที่ว่าง: ต้องมีพื้นที่ว่างอย่างน้อย 30 GB
หากพิจารณาจากสเปคที่แนะนำแล้วเราอาจจะต้องบอกว่ามันเป็นเกมที่ค่อนข้างใช้งานทรัพยากรเครื่องพอสมควร เพราะต้องการซีพียูในระดับ Intel Core i7 พร้อม ๆ กับการใช้งานแรมมากถึง 16GB ขณะที่การ์ดจอเป็นตัวของ GTX 1060 รุ่น 6GB อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว จากทุก ๆ เกมที่มีการแนะนำสเปคระดับนี้เมื่อถึงเวลาจริงแล้วมักจะไม่ได้มากขนาดนั้น ขณะเดียวกันการที่บอกว่า Intel Core i7 ก็ไม่ได้มีการระบุรุ่นของปีว่าเป็นปีใด ทำให้การตีความอาจจะคาดเคลื่อนได้ ยิ่งไปกว่านั้นความต้องการของระบบยังคงรองรับการใช้งานกับ Windows 7 อยู่ด้วย
ฉะนั้นเราขอตีความจากระบบปฏิบัติการเป็นหลักแล้วประมวลผลออกมาได้ว่า สำหรับ Windows 7 ในส่วนของซีพียูที่รองรับจะสูงสุดที่ Intel รุ่นที่ 6 หรือก็คือตระกูล i7-6xxx ซึ่งมีการเปิดตัวไปเมื่อปี 2015 นับเวลาก็ 5 ปีมาแล้ว (หรือหากนับจริง ๆ ก็อาจจะเหลือแค่ 4 ปี เพราะยุติการผลิตไปเมื่อปี 2019) ฉะนั้นเรื่องของซีพียูหากเป็นเครื่องที่ไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้พิมพ์งานในช่วง 3 ปีหลังยังไงก็เล่นได้แน่นอน
เรื่องแรมขอข้ามไปเนื่องจากว่าปัจจุบันแม้เราจะไม่อยากแต่ตัวระบบและโปรแกรมต่าง ๆ ก็เหมือนจะบังคับเราไปแล้วว่า 8GB นะอย่างต่ำ ขณะที่ตัวการ์ดจอที่แนะนำอย่าง GTX 1060 ก็เป็นรุ่นที่ได้มีการสำรวจผ่านแพลตฟอร์มบน Steam แล้วว่ามีผู้ใช้งานมากที่สุดติดต่อกันหลายเดือน (แม้ในปัจจุบันอาจจะไม่ใช่แล้วก็ตาม) ขณะที่การ์ดจอสำหรับการเล่นขั้นต่ำมีการแนะนำเป็นตัวของ GT 1030 ซึ่งเป็นการ์ดจอระดับเริ่มต้นที่ประสิทธิภาพการเล่นเกมทั่ว ๆ ไปก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย (ส่วนตัวเอามาเล่น GTA V ก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร)
ฉะนั้นเราจะไม่ขอยกสเปคสำหรับการเล่นมาแนะนำแต่จะขอพูดรวม ๆ สำหรับสเปคในการเล่นเกมในเวอร์ชั่นพีซีว่า หากเป็นเครื่องที่มีอายุอยู่ในระหว่าง 4 ปี นับย้อนไปจากปัจจุบันน่าจะสามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา (เว้นแต่ว่าจุดประสงค์ตอนเริ่มที่ซื้อกับปัจจุบันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันนี้เราต้องมาคุยกันทีหลังแล้ว) และถ้าเกิดว่าอยากจะใช้งบสำหรับการเล่นเกมนี้หากเอาราคามือ 1 เป็นที่ตั้งก็เปลี่ยนเพียงแค่การ์ดจอในงบ 3,000 บาท ก็สามารถเล่นได้แล้ว ขณะที่ซีพียูต้องยอมรับว่าในปัจจุบันฝั่ง AMD ก็มีซีพียูอย่าง Ryzen มาต่อกรและดูจะเหนือกว่าไปแล้วหากนำไปเทียบกับรุ่นที่ย้อนกลับไป 5 ปีของ Intel ตัวของ Ryzen 3 รุ่นใหม่ ๆ ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานในการเล่นแล้วงบพร้อมบอร์ดใหม่ก็จะอยู่ที่ราว ๆ 4,000 – 5,000 บาท
และนี่ก็คือทั้งหมดของการแนะนำแนวทางในการเตรียมความพร้อมเครื่องสำหรับการเล่นเกมอย่าง Genshin Impact ที่เราได้ลองมาวิเคราะห์กันคร่าว ๆ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ Guidline เท่านั้น ผู้เล่นอย่างเราสามารถที่จะลองตัวเกมได้ก่อนอยู่แล้วว่าเครื่องของเราไหวหรือไม่เมื่อเกมออกมา ก็หวังว่าทุกคนจะได้สนุกไปกับเกมที่เตรียมจะเปิดให้เล่นในเร็ว ๆ นี้กันอย่างไม่มีปัญหา