
ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา Nintendo เคยมอบลิขสิทธิ์การพัฒนาภาพยนตร์แฟรนไชส์ Super Mario ให้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ผลงานดังกล่าวกลับกลายเป็นหนังคัลท์ที่ถูกสาปส่งจนกลายเป็นว่ามีใครกล้าแตะกันอีกเลย กระทั่ง Illumination และ Universal Pictures ได้โคจรมาพบกันและเริ่มจับมือพัฒนาเป็นอนิเมชันคุณภาพสูงและได้เข้าฉายในประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา แต่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ประทับใจแฟนเกมตัวยงแบบผมหรือไม่ลองมาติดตามกันกับรีวิวนี้เลย
【เนรมิตโลกของอาณาจักรเห็ดได้อย่างสวยงาม】
เรื่องราวของ The Super Mario Bros. Movie พูดถึงชีวิตของสองพี่น้อง Mario และ Luigi ผู้ซึ่งเริ่มกิจการช่างซ่อมท่อในโลกปัจจุบันของพวกเราไม่นานแต่ก็นำเงินเก็บทั้งหมดมาลงโฆษณากันเสียแล้ว (มีเนื้อเรื่องด้วยนะว่าอยู่ในบรุกลิน) และแน่นอนว่าท่ามกลางความสิ้นหวังนี้ ทั้งคู่ยังโชคดีพอที่จะได้รับโอกาสในการเข้าไปรับจ๊อบที่แห่งหนึ่ง แต่ก็เจอปัญหาจนโดนลูกค้าด่าเปิง เมื่อกลับบ้านมาพ่อของตัวเองก็ยังแซวต่อจนเซลฟ์เอสตีมดิ่งลงถึงขีดสุด ทว่าทันใดนั้น Mario ได้เห็นข่าวของปัญหาท่อแตกในเมืองจนน้ำท่วม จึงตัดสินใจออกไปช่วยเหลือเพื่อเรียกความเชื่อมั่นคืนด้วยความหวังว่าตัวเองจะได้รับการยอมรับ แต่โชคชะตากลับพาพวกเขาเดินทางมายังโลกต่างมิติ ณ อาณาจักรเห็ดเหนือจินตนาการ!
กราฟิกของอนิเมชันเรื่องนี้ยอมรับเลยว่าสวยงามมากๆ เพราะได้ทีม Illumination ซึ่งมีผลงานเบื้องหลังเด่นๆ อย่างซีรีส์ Despicable Me มาแล้วดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลคุณภาพงานภาพเลย โดยเราจะพบว่าสถานที่ต่างๆ แม้จะไม่ได้อ้างอิงจักรวาลในเกมเสียทีเดียว แต่ก็ได้แรงบันดาลใจมาทั้งหมดโดยเฉพาะเกมในยุคหลังๆ ที่มีบล็อกสีและเมืองของชาวเห็ด โมเดลของตัวละครเองก็มีคุณภาพสูงมากๆ เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมตัวละคร การเคลื่อนไหว หรือเครื่องแต่งกายต่างๆ ดูสวยงามชวนให้เราแอบอยากเล่นเกมที่ได้กราฟิกแบบนี้บ้างเลย (ฮา) ทั้งนี้แน่นอนว่าการแต่งกายบางส่วนก็มีความเปลี่ยนแปลงไป เช่น Mario ที่สวมเสื้อคอปกแทน ขณะที่ตัวละคร Peach นั้นดีเทลชุดก็แตกต่างจากเวอร์ชั่นเกมด้วยเหมือนกันครับ

【ตอกย้ำบทบาทของผู้หญิงแถวหน้า】
เจ้าหญิง Peach ในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ผู้ที่รอคอยความช่วยเหลือจาก Mario อีกต่อไป เพราะในฐานะมนุษย์เพียงคนเดียว เธอได้รับหน้าที่ในการเป็นผู้นำสูงสุดและมีเขี้ยวเล็บอยู่ไม่น้อย ซึ่ง Peach ที่ Anya Taylor-Joy ถ่ายทอดออกมานั้นเป็นผู้นำที่มีอารมณ์ขันและกล้าหาญ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชายเลยเพราะว่าเธอเองต้องเติบโตท่ามกลางเหล่า Toad มาอย่างเดียวดาย ดังนั้นด้วยภาระที่ต้องแบกเอาไว้ตั้งแต่แรก เธอจึงมีความสามารถในการปกป้องทุกคนด้วยการใช้อาวุธ หรือทักษะการต่อสู้ต่างๆ เช่นเดียวกับการตัดสินใจที่เด็ดขาดปุบปับ
เราจะพบความ ‘เท่’ ของ Peach แบบแทบจะนึกภาพไม่ออกในเกมหลักเลย เพราะ Peach เวอร์ชั่นนี้เหมือนว่าไปฝึกวิชามาจาก Smash Bros. มาแล้ว แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะอย่างที่ได้ระบุไว้ข้างต้น Peach มีปูมหลังที่ไม่เหมือนกับสองพี่น้องช่างซ่อมท่อเลย ดังนั้นสถานการณ์จึงผลักดันให้เธอเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวได้มากกว่าคนที่เติบโตมาพร้อมกับครอบครัวพร้อมหน้า นี่อาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เหมือนกันครับว่า Peach เป็นเหมือนตัวแทนของผู้หญิงที่สามารถยืนได้ด้วยขาตนเองอย่างเข้มแข็ง
【บทพิสูจน์ว่าใครๆ ก็เป็นฮีโร่ได้】
พัฒนาการของตัวละครเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเราจะพบว่า Mario ได้เติบโตจากการเป็นเพียงแค่คนธรรมดา สกิลการทำงานใดๆ ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม เพียงแค่ทำได้ตามมาตรฐานเท่านั้น กลับบ้านมาก็โดนคนในครอบครัวแซะแซวกันเป็นว่าเล่นจน Luigi เข้ามาปลอบก็ยังไม่ช่วยให้ดีขึ้นเท่าไรนัก ทว่าเมื่อตนเองต้องถึงคราวที่ไปช่วยเหลือน้องชายหัวแก้วหัวแหวนที่พลัดหลงไป เขาก็พร้อมที่จะยอมทำทุกอย่าง ทั้งการฝึกฝนกับเจ้าหญิงจนสำเร็จวิชาตัวเบา และแม้ว่าบททดสอบจะไม่ได้ผ่านฉลุยแบบ 100% แต่ความพยายามที่มี คือสิ่งที่ทำให้เจ้าหญิง Peach ได้เห็นถึงความตั้งใจและยินดีฝากฝังภารกิจนี้ให้ Mario ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันในที่สุด และหลังจากนั้นมาเขาเองก็กลายเป็นผู้ที่เข้าท้าชนกับ Donkey Kong ด้วยตัวเองเลย
จุดนี้มองว่าทีมงานผู้เขียนบทและผู้กำกับถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก เพราะว่าเราจะเห็นถึงเบื้องหลังของ Mario ที่มีมิติชัดเจนว่าเขาเติบโตมาจากครอบครัวแบบไหน มีปัญหาอะไรบ้างที่ต้องเจอในแต่ละวัน ช่วยให้รีเลตเข้ากับชีวิตของใครหลายๆ คนเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการก้าวข้ามอุปสรรคได้แม้ในภาพยนตร์จะดูเล่าเรื่องส่วนนี้เร็วไปหน่อย อย่างไรก็ตามอยากตำหนิเล็กน้อยว่านอกเหนือจาก Mario แล้ว ตัวละครอื่นไม่มีความเติบโตในแง่ลักษณะนิสัยและดูจะแบนราบไปเลย เช่น Luigi ที่ขี้กลัว ก็ยังขี้กลัวจนถึงปัจจุบัน แต่ที่ฉีกแนวไปจากตัวละครอื่นก็คือ Toad เวอร์ชั่นนี้ที่ปากแซ่บไม่น้อย จะมีเพียงอีกหนึ่งตัวละครที่มีการขับเคลื่อนบ้างก็คือ Donkey Kong แต่ก็ไม่เห็นชัดเจนอะไรมากเท่าไร

ฉันใดก็ดี ด้วยการที่ Super Mario เป็นแฟรนไชส์เกมที่น่าจะถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ได้ค่อนข้างยาก แต่การที่หนังเรื่องแรกได้แสดงให้เห็นพัฒนาการของ Mario ได้ก็เป็นสัญญาณที่ดีในการยืนพื้นมาตรฐานให้กับตัวละครอื่นๆ ได้ในอนาคต และปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า Mario เป็นฮีโร่ที่เท่และฮาได้ในเวลาเดียวกันด้วย เรียกว่ามีความเป็นตัวตนแบบเดียวกับในเกม เข้าถึงได้ง่ายเหมือนเดิม
【เกร็ดเกมที่มีให้หากันตาแตก】
พูดถึงหนังจากวิดีโอเกมแล้วแบบนี้แน่นอนว่าคงขาดเกร็ดเกมหรือ Easter Egg ไปไม่ได้ ตรงนี้ขอบอกเลยว่าโผล่มาตั้งแต่ฉากแรกยันฉากสุดท้าย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของมุกตลกในเกม, ของประกอบฉาก ไปจนถึงเพลงประกอบที่นำมาจากทั้งเกมหลักและเกมสปินออฟ ไปจนถึงซีรีส์ย่อยในแฟรนไชส์ หากใครเป็นแฟนเกมเครือ Nintendo ก็น่าจะฟินกันไม่น้อยเพราะได้หากันแบบ ‘ตาแตก’ เลย เอาเป็นว่าอย่าสปอยล์เยอะดีกว่าเนอะ

【ความตื้นเขินเป็นแค่จุดอ่อนเดียวเท่านั้น】
จุดอ่อนเดียวของ The Super Mario Bros. Movie คือเรื่องของความตื้นเขินในเนื้อหาที่ยอมรับเลยจริงๆ ครับว่ามันเบาบางมาก พล็อตไม่ได้อาศัยความซับซ้อนในการเล่าและมีความเป็นเส้นตรงมากถึงมากที่สุด เทียบได้กับการวิ่งจากจุด A ไปจุด B แล้วก็ เอ้า! จบแล้วหรอ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าตั้งใจโฟกัสไปที่ผู้ชมเด็ก แต่สำหรับคนที่ติดตามเกมมาริโอ้มาก็อาจจะทำใจได้บ้างว่ามันไม่มีเนื้อหาอะไรให้ติดตามมากอยู่แล้ว (หากไม่ได้อิงมาจากเกมภาคใดภาคหนึ่งเต็มๆ) อย่างไรก็ตาม แค่ดูการเดินทางของพวก Mario ก็คุ้มค่าพอแล้ว
มาถึงในส่วนของเสียงพากย์ที่เป็นประเด็นใหญ่กับ Chris Pratt หลายคนคงมองว่าน่าจะเป็นจุดอ่อน แต่ผิดคาด Chris ทำหน้าที่เป็น Mario ได้แบบเต็มตัว น้ำเสียงของเขามีความเป็นตัวละครนี้และไม่ดูน่าขัดเขินที่ได้ยินเสียงพูดเลย กระนั้นที่แอบผิดหวังคือ Seth Rogen ที่ก็มีผลงานพากย์เสียงมาอยู่แล้ว หากแต่ฟังยังไงก็เหมือนจะไม่เข้ากับ Donkey Kong จุดนี้ไม่ใช่ว่าทำหน้าที่ได้ไม่ดี แต่ว่าพอฟังเสียงแล้วกลับคิดว่าเหมือนเป็น Seth เองมากกว่า ทั้งนี้ช่วงการประชันฝีปากของ Chris กับ Seth นี่จัดได้ว่าเด็ดและฮาท้องแข็ง ส่วนคนอื่นทำหน้าที่ได้ดีทั้งหมดครับ


【บทสรุป】
The Super Mario Bros. Movie อาจจะไม่ใช่หนังที่ขายแฟนเกมได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ทุกคนก็สามารถดูได้อย่างสนุก เพราะเด็กๆ หรือคนนอกก็เพลิดเพลินกับเรื่องที่ดูได้ทั้งครอบครัว ขณะที่แฟนพันธุ์แท้ Nintendo ก็ได้ติดตามพวก Easter Egg แทน หากในโอกาสหน้า Illumination ได้มาร่วมงานในการพัฒนาอนิเมชันอีก ก็มั่นใจได้ว่าบทเรียนจุดที่ต้องปรับปรุงคงได้รับการแก้ไขให้มีมิติมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่โฟกัสที่ Mario จุดเดียวแบบนี้
The Super Mario Bros. Movie เข้าฉายในประเทศไทยแล้ววันนี้ โดยมี Chris Pratt, Anya Taylor-Joy, Charlie Day, Seth Rogen และ Jack Black มาร่วมให้เสียงพากย์ตัวละครกัน เช่นเดียวกับ Charles Martinet เจ้าของเสียงลุงหนวดเวอร์ชั่นเกมที่จะได้รับบท Cameo กันด้วย ซึ่งมีเรื่องราวการผจญภัยของลุงหนวดช่างซ่อมท่อในดินแดนสุดมหัศจรรย์
One Comment