ผู้เขียน – Youryu
Atlas Fallen เป็นเกม Action RPG Open-World ที่จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์กลุ่มผู้รอดชีวิตจากภัยคุกคามใหญ่และลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อต่อสู้กับเหล่าเทพเจ้าวิปลาสที่ต้องการกดขี่ข่มเหงมนุษย์ ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นตัวเอกที่เดินทางในโลกทะเลทรายอันเต็มไปด้วยอันตรายและปริศนา ออกตามล่ามอนสเตอร์ในตำนาน ใช้พลังวิเศษในการเปลี่ยนแปลงอาวุธและควบคุมทรายเพื่อใช้ในการต่อสู้ เฟ้นหารูปแบบการเล่นที่เข้ากับเรา พร้อมออกเดินทางได้ทั้งรูปแบบออนไลน์ – โซโล่
และในโอกาสนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปผจญภัยในดินแดนแห่งทะเลทรายที่ล่มสลายแล้ว และผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะมานำเสนอรีวิวเกมที่น่าสนใจให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 ระหว่างวันที่ 8 – 12 สิงหาคม 2566 หากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้
โลกแห่งทะเลทรายที่สวยงาม กว้างใหญ่พอดีให้เราได้สำรวจ
ประเด็นแรกที่ต้องพูดถึงเลยก็คือ ความกว้างใหญ่ของแผนที่ภายในเกมนี้ที่ถือว่าทำออกมาได้พอดีไม่ใหญ่ ไม่เล็กจนเกินไป โดยภายในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นตัวเอกที่เดินทางในโลกทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ฉะนั้นแน่นอนว่าวิวทิวทัศน์ของเกมนี้จะไม่ใช่ป่าเขียวชอุ่ม หรือมีแม่น้ำให้เราได้ว่ายกันมากนัก (หรือเรียกได้ว่าแทบไม่มีเลยดีกว่า) ฉะนั้นสิ่งที่เราได้เห็นจริง ๆ ก็คือพื้นที่ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่เต็มไปด้วยทราย และซากสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ๆ เพราะพื้นที่โดยทั่วไปก็ดูสวยงาม ในขณะที่การผจญภัยภายในดันเจี้ยนต่าง ๆ ก็ออกแบบมาดีพอสมควรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว เนื่องจากฉากเน้นไปที่ทะเลทรายเป็นหลักทำให้เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ จะแอบรู้สึกจำเจไปบ้าง
สิ่งที่อาจจะทำให้รู้สึกติดขัดไปบ้างก็คือ การออกแบบฉากในหลาย ๆ จุดที่มันมีจุดที่ทำให้เรา “ตกเหว” ได้ง่ายอยู่พอสมควร เนื่องจากว่าโลกภายในเกมนี้โดนถล่มจากเทพเจ้าวิปริตวิปลาสทำให้แผ่นดินหลาย ๆ จุด (รวมไปถึงในดันเจี้ยน) นั้นแยกออก มีความสูงต่ำแตกต่างกันไป ทำให้เราจำเป็นที่จะต้องกระโดดและพุ่งตัวเพื่อสำรวจดินแดนไปเรื่อย ๆ แต่หลาย ๆ ครั้งพื้นที่ต่างระดับนั้นกลับสูงชันแตกต่างกันมาก ทำให้สังเกตได้ยาก ส่งผลให้หลาย ๆ ครั้งเราพลาดท่าตกเหวไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบก็คือระบบ Sand Slide หรือการสไตล์ไปตามทรายเหมือนเรากำลังเล่นสกีหิมะ ซึ่งถือว่าเป็นไอเดียที่ต้องยกนิ้วให้เพราะมันดูเท่แบบสุด ๆ แถมสะดวกสบายด้วย เพราะเพียงแค่เราวิ่งไปถึงจุดที่เป็นทราย ตัวละครก็จะทำการสไลด์อัตโนมัติทันที แต่เมื่อเราวิ่งไปบนพื้นหิน ตัวละครก็จะกลับมาวิ่งตามปกติ แต่สิ่งที่แอบตะหงิดเล็กน้อยก็คืออนิเมชั่นก่อนการสไลด์ที่ตัวละครของเราจะแอบกระโดดเทคตัวขึ้นกลางอากาศเล็กน้อย ซึ่งโดยปกติอาจจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราไปเจอพื้นที่ที่มีซากปรักหักพังเยอะ ๆ สลับกับพื้นทราย เราจะเห็นตัวละครของเรากระโดดเหยง ๆ ดูแปลกตาไม่น้อย
ในขณะเดียวกันภายในโลกใบนี้เราจะได้พบเจอกับมอนสเตอร์หลากหลายแบบ ซึ่งผู้เขียนประทับใจไม่น้อยเลย เพราะว่าเราจะได้เจอมอนสเตอร์หลากหลายขนาด แถมมอนสเตอร์แต่ละตัวก็จะมีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่นมอนสเตอร์บางตัวหายตัวได้ทำให้เรามองเห็นได้ลำบาก แต่ถ้าเราจับมันได้ มันจะโดนแช่แข็งอยู่สักพัก, มอนสเตอร์บางตัวเป็นประเภทบินที่จะต้องกระโดดโจมตีกลางอากาศ รวมไปถึงเราจะได้เจอมอนสเตอร์บางตัวที่มีขนาดใหญ่ และอวัยวะของมันก็แยกชิ้นส่วนด้วย ตัวอย่างเจ้าปูยักษ์ที่ผู้เขียนตายให้มันไปนับ 10 กว่ารอบก็แยกส่วนเป็น 3 ส่วน ซึ่งเราจะกำจัดมันได้ก็ต่อเมื่อทำลายส่วนแกนกลางของมันให้ได้ หรือทำลายมันทั้งหมดทุกส่วนก็ได้เช่นกัน โดยจุดนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกตาไปจากเกม RPG Action Open-World เกมอื่น ๆ อยู่ไม่น้อย และก็สร้างความประทับใจให้ผู้เขียนอยู่พอสมควร
และถ้าผู้เล่นคนใดเบื่อที่จะออกผจญภัยด้วยตัวคนเดียว เกมนี้ก็มีระบบ Co-op ให้ได้ใช้งานด้วย ทำให้การเล่นเกมนี้สนุกสนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากผู้เล่นคนใดมีเพื่อนที่เล่นเกมนี้อยู่ด้วยแล้วล่ะก็บอกได้เลยว่ามันส์กว่าเดิมหลายเท่า (และวุ่นวายมากขึ้น) อย่างแน่นอน
เกมเพลย์แอ็กชั่นที่ลื่นไหล แหวกแนว แต่กลับรู้สึกหน่วงอย่างน่าเสียดาย
เกม Atlas Fallen จะนำเสนอรูปแบบเกมเพลย์แอ็กชั่นที่ลื่นไหล ผสมผสานการโจมตีด้วยอาวุธหลัก และอาวุธรองของเราเพื่อสร้างคอมโบที่รวดเร็ว รุนแรง และต่อเนื่องได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้เกมยังมีการหลบหลีก และมีการใช้ระบบที่เรียกว่า Sandskin ที่หากเรากดถูกจังหวะก็จะทำให้ศัตรูโดนแช่แข็งไปสักพัก คล้าย ๆ กับการ Parry แล้วศัตรูมึนนั่นเอง รวมไปถึงมีการใช้สกิลประกอบการต่อสู้ด้วย แถมเกมนี้ยังมาพร้อมกับระบบที่เรียกว่า Momentum ซึ่งเป็นระบบที่จะทำให้ตัวละครของผู้เล่นนั้นดุดันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการต่อสู้ ยิ่งต่อสู้นานเท่าไหร่ ตัวละครของเราก็ยิ่งดุดันมากขึ้นเท่านั้น
ระบบ Momentum จะมาพร้อมเกจที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผู้เล่นโจมตีศัตรู และจะลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อออกจากการต่อสู้ไปสักพักหนึ่ง โดยเกจนี้จะมีการแบ่งเป็นช่วง ๆ เมื่อเราสะสมเกจถึงแต่ละช่วงจะทำให้ตัวละครของเราดุดันขึ้น นั่นก็คือตัวละครของเราจะโจมตีได้แรงขึ้น อาวุธใหญ่ขึ้น และใช้สกิลได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งฟังแล้วดูดีมาก ๆ แต่เมื่อเล่นจริงเรากลับพบว่าระบบนี้สร้างความปวดหัวให้เราไม่น้อย
ความปวดหัวแรกก็คือเกจ Momentum นี้ไม่ได้เพิ่มแต่พลังโจมตีให้เราเท่านั้น แต่มันจะลดพลังป้องกันของเราด้วย! นั่นแปลว่าตัวละครของเราจะดุดันขึ้น แต่บอบบางลงเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งระบบนี้ไม่สามารถปิดได้ เป็นระบบที่บังคับใช้ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าการบังคับผู้เล่นด้วยการแลกพลังป้องกันกับการโจมตีที่รุนแรงขึ้นนั้นมันอาจจะตื่นเต้น และทำให้เกมนี้มีแอ็กชั่นที่สะใจมากขึ้น แต่ในทางกลับกันมันกลายเป็นการทำให้ผู้เล่นเล่นได้ยากขึ้น เพราะตัวละครของเราจะตายง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน (แม้ว่าจะมีสกิลเพิ่มพลังป้องกัน แต่การบังคับให้ตัวละครลดพลังป้องกันนั้นอาจจะไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่นัก) โดยเฉพาะเวลาที่เราเจอกับมอนสเตอร์โหด ๆ ก็อาจจะทำให้ใครหลายคนปาจอยได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้ระบบดังกล่าวยังทำให้ผู้เขียนแอบรู้สึกหน่วงอยู่เล็กน้อย เพราะผู้เขียนรู้สึกว่ากว่าตัวละครของเราจะสู้ได้อย่างดุดัน เรากลับต้องค่อย ๆ สะสมเกจไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ตัวละครเราต่อสู้ได้ดีขึ้น ซึ่งแทนที่จะกลายเป็นความตื่นเต้น กลับกลายเป็นความน่าเบื่อเพราะเราต้องคอยมาสะสมเกจ Momentum นี้อยู่เรื่อย ๆ ในการเริ่มเข้าต่อสู้ในแต่ละครั้ง
โหมดถ่ายภาพที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ
จุดเด่นอีกจุดของเกมนี้ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ Photo Mode นั่นเอง โดยเกมนี้ก็เรียกได้ว่าจัดรายละเอียดของ Photo Mode ออกมาได้แบบไม่มีกั๊ก ผู้เขียนรู้สึกว่าลูกเล่นในโหมดถ่ายภาพนี้ถือว่าเยอะกว่าหลาย ๆ เกม โดยเราสามารถเลือกปรับท่ายืนของตัวละครได้หลากหลาย เลือกให้ตัวละครมองกล้องหรือไม่ก็ได้ เลือกปรับขนาดของภาพ เลือกกรอบภาพที่ถูกใจหลากหลายสิบแบบ จัดตำแหน่งโลโก้เกม รวมไปถึงการเกรดสีภาพให้ได้โทนสีที่ต้องการ และมีการปรับโฟกัสเมื่อเลือกใช้โหมดเบลอหลัง รวมไปถึงมีระบบปรับโฟกัสอัตโนมัติด้วย ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ถูกใจสายถ่ายภาพอย่างแน่นอน
สรุปรีวิว
Atlas Fallen ถือได้ว่าเป็นเกม Action RPG Open-World ที่เล่นได้เพลิดเพลินสนุกสนานทั้งแบบ Solo และ Co-op โดยเกมนี้ก็มีระบบเด่น ๆ ที่น่าสนใจมากมาย และต่อให้มีการใช้ระบบที่เราคุ้นตา แต่ก็มีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับเกมนี้ซึ่งถือว่าไอเดียดีมาก ๆ รวมไปถึงการต่อสู้กับมอนสเตอร์ภายในเกมนี้ก็บอกได้เลยว่าท้าทายเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่ระบบ Momentum ที่ควรจะเป็นระบบชูโรงกลับสร้างความติดขัดในการเล่นไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเกมนี้จะไม่น่าเล่นแต่อย่างใด เพราะเมื่อผู้เล่นปรับตัวได้เมื่อไหร่ก็บอกได้เลยว่าสนุกสนานแน่นอน
ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 7 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ
จุดเด่น
– กราฟิกที่สวยงาม โลกที่ถูกออกแบบมาได้ดี
– การประยุกต์ระบบเดิมให้ดูโดดเด่นเช่น Sand Skin, Sand Slide ทำให้เกมนี้แตกต่างไปจากเกมอื่น ๆ
– ระบบ Momentum ที่จะทำให้การต่อสู้ภายในเกมนี้แตกต่างไปจากเกมอื่น
– มอนสเตอร์ภายในเกมที่ท้าทายมาก ๆ
– ระบบการปรับแต่งและการอัปเกรดตัวละครที่ทำได้น่าสนใจ
จุดสังเกต
– เมื่อผู้เล่นปรับโหมด Performance หรือ Quality ต้องรีสตาร์ทเกมใหม่ ซึ่งน่าแปลกใจมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่เกมอื่นไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้
– เกมนี้มีความยาวเนื้อเรื่องหลักอยู่ที่ประมาณ 15-20 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยกับเกมสมัยนี้ (แถมราคาประมาณ 2,000 บาท)
– ระบบ Momentum ที่กลายเป็นความหน่วงในการเล่นเกมของผู้เล่นหลาย ๆ คน
– มอนสเตอร์หลาย ๆ ตัวแอบโหดเกินไปสำหรับผู้เล่นที่ไม่ถนัดเกมสไตล์นี้
สุดท้ายนี้ ทีมงาน This is Game Thailand ต้องขอขอบคุณทาง Ripples ที่เอื้อเฟื้อเกมดีๆ เกมมันส์ๆ มาให้พวกเราได้รีวิวกันในครั้งนี้ด้วยนะครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อเกมได้ที่ : www.focus-entmt.com/en/games/atlas-fallen