เกม

เปิดประวัติความเป็นมาของ Bandai Namco

เรื่องราวของยักษ์ใหญ่ในวงการเกมและของเล่นตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน

Highlights:

• จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 เข้าช่วงวันครบรอบพอดี Namco ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะควบรวมกิจการกับบริษัท Bandai และจะร่วมกันก่อตั้ง Bandai Namco Holdings ขึ้นมา ดีลนี้จบขั้นตอนสุดท้ายในช่วงวันที่ 25 กันยายน 2005 โดย Namco จะได้ส่วนแบ่งการตลาด 43% และ Bandai จะได้ 57% ที่เหลือ พวกเขากลายเป็นผู้จัดจำหน่ายเกมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สามของญี่ปุ่นในเวลานั้น (เมื่อคำนวณจากรายได้รวม)

• สถิติหนึ่งที่น่าสนใจของ Namco Bandai Games ที่ได้รับการบันทึกลงใน Guinness World Records เมื่อปี 2010 คือพวกเขาเป็นบริษัทเกมที่ปล่อยโฆษณาทีวีออกมามากที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์เดียว โฆษณาตัวนั้นคือโฆษณาของตัวเกม Solatorobo: Red the Hunter ในแพลตฟอร์ม Nintendo DS โดยพวกเขาสร้างโฆษณาออกมามากถึง 100 ตอน ในขณะที่ตัวเกมนั้นมีเรื่องราวถึง 100 ตอนเช่นกัน

• เข้าสู่ช่วงปี 2014 บริษัทก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีก มีการเปลี่ยนชื่อ Namco Bandai Games และ Namco Bandai Studios เป็น Bandai Namco Games และ Bandai Namco Studios ตามลำดับ ด้วยเหตุผลหลักคือพวกเขาต้องการให้ “ภาพลักษณ์ของแบรนด์” โดดเด่นขึ้นกว่านี้


ทุกวันนี้ แฟนเกม อนิเมะและของเล่นหลายคนอาจต้องคุ้นเคยกับชื่อแบรนด์ Bandai หรือ Bandai Namco ที่มีสินค้าต่าง ๆ วางขายอยู่แทบทุกมุมโลกกันอย่างแน่นอน ผลงานหลายอย่างของพวกเขาก็กลายเป็นที่จดจำของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะเกมและของเล่นที่มาจากอนิเมะดังของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ Dragon Ball, One Piece, Gundam, Naruto, Sword Art Online, Doraemon และอนิเมะดัง ๆ เรื่องอื่นอีกมากมาย

นอกจากนี้พวกเขาก็ยังมีเกมในแนวอื่นที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเกม Elden Ring ที่กลายเป็น Game of the Year เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา หรือจะเป็นซีรีส์หนึ่งในเกมต่อสู้ที่ดีที่สุดตลอดกาลอย่าง Tekken, เกม Pac-Man ที่กลายเป็นไอคอนสำคัญของวงการเกมและผลงานเกมอื่น ๆ ที่ตีตลาดพร้อมกับฟันกำไรเป็นกอบเป็นกำอีกมากมายก็เป็นผลงานที่น่าจดจำของพวกเขาเช่นกัน

แล้วรู้หรือไม่ว่า ผลงานบางส่วนที่กล่าวถึงนี้เริ่มมีชื่อเสียงแบบจริงจังตั้งแต่ก่อนที่สองบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Bandai ที่ครองตลาดของเล่นและอนิเมะอยู่ กับ Namco ที่ครองตลาดเกม จะเข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 นี้ ในบทความก่อนหน้านี้เราได้อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับค่ายเกม Namco ให้ได้อ่านกันไปแล้ว ส่วนในบทความพิเศษนี้ เราจะมาสรุปเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของค่าย Bandai Namco ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันให้ทุกท่านได้อ่านกัน…พร้อมแล้วลุยกันเลย!

ก่อนที่สองยักษ์ใหญ่จะมาพบกัน

หลังจากที่ Namco หนึ่งในค่ายเกมใหญ่ของโลกเริ่มประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักตั้งแต่ช่วงต้นปี 2000 และต้องการที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเข้าไปหลอมรวมกับบริษัทอื่นเพื่อให้พวกเขาอยู่รอดในวงการต่อไปได้ แต่ด้วยสภาพการเงินที่ไม่คล่องตัวของพวกเขาที่ไม่แน่นอน ทำให้หลายบริษัทก็ต่างส่ายหัวให้กับข้อเสนอของพวกเขา และแล้วในที่สุด พวกเขาก็ได้เริ่มเข้าหาบริษัท Bandai ที่เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของวงการของเล่นจากอนิเมะในเวลานั้นอยู่ โดยทาง Bandai เริ่มมองเห็น “โอกาสในการขยายตลาดเข้าไปในวงการเกม” ที่ดี ในที่สุดทาง Namco

• Namco เคยรุ่งเรืองขนาดไหนในอดีต ? ก่อนที่จะถูกหลอมรวมกับ Bandai

ก่อนหน้านี้ Bandai ก็เคยเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมเกมมาก่อนในช่วงยุค 80s โดยพวกเขาได้ก่อตั้งแผนกหนึ่งขึ้นมาที่จะรับผิดชอบการพัฒนาเกมให้กับคอนโซล Famicom ของ Nintendo ในช่วงปี 1983 ถึง 1989 แล้วหนึ่งในผลงานที่โดดเด่นของพวกเขาก็คือ Power Pad พรมแผ่นพลาสติกที่มาพร้อมกับปุ่มที่ผู้เล่นจะต้องใช้เท้าเหยียบ นวัตกรรมใหม่ของ Bandai เมื่อปี 1986 นี้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับการสร้างแป้นเหยียบรูปแบบใหม่ ๆ ที่มีการนำไปใช้ในเกมแข่งวิ่งหรือ “เกมเต้น” ที่ผู้เล่นยุคเก่าและใหม่จะคุ้นเคยหน้าตาเป็นอย่างดี

อีกผลงานที่น่าจดจำของ Bandai ในช่วงยุค 80s คือการเทคโอเวอร์บริษัท Coreland ผู้ผลิตตู้เกมอาร์เคต ก่อนที่จะปรับโครงสร้างบริษัทให้เป็นผู้ผลิต “สื่อบันเทิงแบบครบวงจรหยอดเหรียญ” และตั้งชื่อใหม่เป็น Banpresto รวมถึงยังเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักของเกม Street Fighter II ของค่าย Capcom ผ่านแพลตฟอร์ม Famicom ในโซนอเมริกาเหนืออีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทาง Bandai ก็เคยมีแผนที่จะควบรวมกับ SEGA ในช่วงเดือนมกราคม 1997 ด้วยการใช้ทุนควบรวมกิจการประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับประเมินรายได้ต่อปีไว้สูงถึง 6 พันล้านเยนถ้าหากพวกเขาควบรวมกันได้สำเร็จ แต่ปัญหาก็เริ่มทยอยตามเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อคอนโซล PiPP!N ที่ทาง Bandai พัฒนาร่วมกับค่ายไอที Apple นั้นสูญเสียรายได้ไปถึง 9 พันล้านเยนในช่วงเวลาเดียวกัน อีกปัญหาที่เกิดขึ้นคือทาง Makoto Yamashina (มาโกโตะ ยามาชินะ) ประธานบริษัท Bandai ในเวลานั้นเล็งเห็นว่า “รูปแบบการบริหารและดำเนินงาน” ของ SEGA และบริษัทของเขานั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายหรือหลักการที่เข้ากันได้เท่าไร ในท้ายที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจล้มข้อเสนอควบรวมในครั้งนี้ไปในเดือนพฤษภาคมก่อนที่จะมีการดำเนินการเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน

ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกฝ่ายและความน่าเชื่อถือของ Bandai ที่ลดลง ทำให้ Yamashina ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ขอโทษถึงการตัดสินใจในครั้งนี้และได้ขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อเป็นการรับผิดชอบ แต่หลังจากนั้น ทาง Bandai ก็ยังไปยื่นข้อเสนอครั้งใหม่กับ SEGA อีกครั้ง แต่จะเป็นในรูปแบบ “พาร์ทเนอร์” แทน

What if…ข้อเสนอนี้สำเร็จขึ้นมาจริง ๆ แล้วมุมมองระหว่าง Bandai และ SEGA นั้นไปด้วยกันได้ ตอนนี้เราก็อาจได้เห็น Bandai SEGA เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ไปแล้วก็ได้ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้นในตอนจบพวกเขาลดสถานะจากการเป็นคู่กันมาเป็นเพียงเพื่อนที่รู้ใจเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน Namco ผู้ที่เคยเป็นเจ้าตลาดของวงการเกมอาร์เคดและคอนโซลทั่วโลกตั้งแต่ยุค 80s แต่ก็เริ่มพบกับปัญหาการเงินภายในบริษัท พวกเขาสูญเสียรายได้ไปมากมายในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในยุคต้น 2000s ที่ผู้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง อัตราการเกิดใหม่ก็ลดลงเช่นกัน แล้วดันเป็นช่วงใกล้ครบรอบ 50 ปีของบริษัทอีกด้วย

จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 เข้าช่วงวันครบรอบพอดี Namco ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะควบรวมกิจการกับบริษัท Bandai และจะร่วมกันก่อตั้ง Bandai Namco Holdings ขึ้นมา ดีลนี้จบขั้นตอนสุดท้ายในช่วงวันที่ 25 กันยายน 2005 โดย Namco จะได้ส่วนแบ่งการตลาด 43% และ Bandai จะได้ 57% ที่เหลือ พวกเขากลายเป็นผู้จัดจำหน่ายเกมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สามของญี่ปุ่นในเวลานั้น (เมื่อคำนวณจากรายได้รวม)

หลังจากควบรวมกันแล้ว ทั้งสองบริษัทก็ยังคงดำเนินงานต่อไปตามรูปแบบของตัวเองจนถึงช่วงวันที่ 31 มีนาคม 2006 ที่ทั้งสองบริษัทตัดสินใจ “ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่” ให้เป็น Namco Bandai Games ในญี่ปุ่นและ Namco Bandai Games America ขึ้นมาจากการควบรวมของแผนก Namco Hometek และ Bandai Games ในโซนอเมริกาที่เคยดำเนินงานอยู่แล้ว ส่วน Banpresto ที่เป็นอีกแผนกเกมของ Bandai ก็ได้เข้าไปอยู่ใน Namco Bandai Games ในวันที่ 1 เมษายน 2008 และ Bandai Networks ก็ตามไปควบรวมอีกในวันที่ 1 เมษายน 2009 เรียกได้ว่าช่วงเวลานี้คือการทยอยรวมตัวของแผนกย่อยจากสองบริษัทอย่างแท้จริง

ปรับโครงสร้างการทำงานใหม่

ในช่วงการดำเนินงานแรก ๆ ของ Namco Bandai Games พวกเขามีแผนการที่จะเจาะกลุ่มตลาดโซนตะวันตกมากขึ้น พวกเขาได้สร้างแบรนด์ SURGE ขึ้นมาในช่วงปลายปี 2008 พร้อมกับสร้างเกม Afro SamuraiDead to Rights: Retribution และ Splatterhouse ขึ้นมา แต่สุดท้าย ตัวเกมทั้งหมดกลับไม่ได้นำไปเผยแพร่ผ่านแบรนด์ดังกล่าวตามที่วางแผนไว้ แล้วไปใช้เป็น Namco แบบเก่าแทน สุดท้ายแผนการสร้าง SURGE ก็เริ่มหายไปกับสายลมตั้งแต่ตอนนั้น

หลังจากนั้นในปี 2011 เป็นต้นมา แผนกย่อยต่าง ๆ ของ Namco ก็เริ่มเข้ามาหลอมรวมกับ Namco Bandai Games มากขึ้น แล้วก็มีการประกาศแยกตัวของแผนกพัฒนาเกม Namco Bandai Studios ขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2012 พร้อมกับพนักงานอีกมากกว่า 1,000 คน เพื่อให้การพัฒนาเกมต่าง ๆ ของพวกเขาไปได้รวดเร็วขึ้น มีการขยายสาขาไปเปิดสตูดิโอในสิงคโปร์และแคนาดา (แวนคูเวอร์) ในเดือนมีนาคม 2013 นอกจากนี้ ในโซนยุโรปก็มีการก่อตั้ง Namco Bandai Games Europe ขึ้นมาในเดือนกรกฎาคม 2013

สถิติหนึ่งที่น่าสนใจของ Namco Bandai Games ที่ได้รับการบันทึกลงใน Guinness World Records เมื่อปี 2010 คือพวกเขาเป็นบริษัทเกมที่ปล่อยโฆษณาทีวีออกมามากที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์เดียว โฆษณาตัวนั้นคือโฆษณาของตัวเกม Solatorobo: Red the Hunter ในแพลตฟอร์ม Nintendo DS โดยพวกเขาสร้างโฆษณาออกมามากถึง 100 ตอน ในขณะที่ตัวเกมนั้นมีเรื่องราวถึง 100 ตอนเช่นกัน

เข้าสู่ช่วงปี 2014 บริษัทก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีก มีการเปลี่ยนชื่อ Namco Bandai Games และ Namco Bandai Studios เป็น Bandai Namco Games และ Bandai Namco Studios ตามลำดับ ด้วยเหตุผลหลักคือพวกเขาต้องการให้ “ภาพลักษณ์ของแบรนด์” โดดเด่นขึ้นกว่านี้

หลังจากนั้นมาชื่อ Bandai Namco Entertainment (BNE) ก็ถูกนำมาใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2015 เป็นต้นมา

ในส่วนของแผนกอาร์เคดของ Bandai Namco ก็ถูกยุบรวมทั้งหมดจนกลายเป็น Bandai Namco Amusement ในวันที่ 1 เมษายน 2018 แล้วพวกเขาก็ต้องพบกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้พวกเขาต้อง “ถอน” แผนกอาร์เคดในโซนอเมริกาเหนือไปในช่วงเดือนมีนาคม 2021 (ยกเว้น Bandai Namco Amusement ในสหรัฐอเมริกาที่ยังอยู่ได้) ก่อนที่จะมีการย้ายสำนักงานในสหรัฐอเมริกาในอีกหนึ่งเดือนถัดมา

เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก ในเดือนมิถุนายน 2022 ทาง Bandai Namco ได้จับมือกับค่ายเกม I Love Computer Art (ILCA) เพื่อประกาศสร้าง Bandai Namco Aces ขึ้นมา โดย Bandai Namco จะถือหุ้นส่วน 51% ส่วน ILCA จะถืออีก 49% ที่เหลือ พวกเขามีผลงานที่โดดเด่นร่วมกันก็คือแฟรนไชส์เกม Ace Combat นั่นเอง

ภาพลักษณ์เจ้าตลาดเบอร์ต้นของโลก

Bandai Namco กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลกในฐานะผู้จัดจำหน่ายของเล่นและวิดีโอเกมเกี่ยวกับมังงะ (และอนิเมะ) ญี่ปุ่น พร้อมกับแฟรนไชส์ดังที่ผู้คนจดจำได้มากมาย พวกเขารุกตลาดในทุก ๆ แพลตฟอร์มความบันเทิงที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบของเล่น ชอบเล่นเกม หรือดูอนิเมะ แทบจะไม่มีใครในวงการนี้ไม่รู้จักชื่อแบรนด์ของพวกเขาเลย

ปัจจุบันพวกเขามีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ย่านมินาโตะของกรุงโตเกียว รวมถึงมีสตูดิโอโซนอเมริกาอยู่ที่ย่านซานตาคลาราของรัฐแคลิฟอร์เนีย สตูดิโอโซนยุโรปจะอยู่ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส ส่วนในโซนเอเชียจะมีทั้งในญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่

เมื่อเดือนตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา ทาง Bandai Namco ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะเลิกใช้โลโก้สีเหลือง ส้มและโลโก้ Bandai Namco สีแดง ที่เคยใช้ตั้งแต่ยุคที่พวกเขารวมเป็นหนึ่งกัน แล้วจะเปลี่ยนไปใช้เป็นโลโก้สุดเรียบง่ายขึ้น โดยจะมีลักษณะเป็นคำว่า BANDAI NAMCO ที่ถูกล้อมไว้ด้วยกรอบข้อความสีม่วงแดงแทน พร้อมกับตั้งชื่อโลโก้ว่า Fukidashi แล้วจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2022 แต่ในเวลาต่อมาก็มีการเปลี่ยนแปลงสีกรอบข้อความให้เป็นสีแดงแทน

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Bandai Namco อธิบายเกี่ยวกับโลโก้นี้ไว้ว่า “มันคือการแสดงออกเกี่ยวกับศักยภาพที่แบรนด์ต้องการเชื่อมโยงไปสู่ผู้คนทั่วโลกและสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาคิดไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมา กรอบคำพูดที่ใช้ในโลโก้นี้ยังแสดงถึงความโด่งดังของวัฒนธรรมมังงะญี่ปุ่นที่กลายเป็นที่รู้จักของทั่วโลกอีกด้วย”

ปัจจุบัน (ในปี 2023) Bandai Namco มีบริษัทแม่ในชื่อว่า Bandai Namco Holdings Inc. ภายใต้การก่อตั้งของ นาโอะฮารุ ยามะชินะ จากฝั่ง Bandai ร่วมกับ มาซายะ นากะมุระ จากฝั่ง Namco ทั้งสองทำข้อตกลงหลอมรวมบริษัทขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2005 พร้อมกับผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายตลอดหลายทศวรรษกว่าจะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งได้สำเร็จ พวกเขามีตลาดของเล่น วิดีโอเกม สื่อมวลชน สวนสนุก ร้านอาหารและภาพยนตร์เป็นของตัวเองอยู่ทั่วโลก หนึ่งในบริษัทย่อยที่ทำรายได้มากที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือ Bandai Namco Entertainment นั่นเอง

ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของค่าย Bandai Namco ที่ผู้คนในวงการบันเทิงคุ้นหน้าคุ้นคากันดี ด้วยความนิยมชมชอบและผลงานที่โดดเด่นของทางค่าย พวกเราเองก็ยังมีมีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ทางค่ายเตรียมเอาไว้ให้เราไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว

Now Loading

ชอบเพลง Metal | บันเทิงกับการถ่ายรูป | ของโปรดคือเนื้อย่าง | เล่นเกมบ้างบางเวลา
Back to top button

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save