Far Cry 6: Control สู่จิตใจอันดำมืดของวายร้ายจากเกม Far Cry 4
หากพูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกเลยว่าคนร้ายในแฟรนไชส์ Far Cry แต่ละคนล้วนหาที่มีสติดีๆ กันไม่ได้เลย ทุกคนล้วนมีความบิดเบี้ยวทางความคิดและจิตใจกันแบบน่าสยดสยองชนิดที่จิตแพทย์เองก็คงจะไม่อยากรับไว้รักษาสักเท่าไหร่ แต่ความซับซ้อนเหล่านั้นมีใครเล่าจะรู้ว่าพวกเขาซ่อนอะไรข้างในเอาไว้อยู่ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ Far Cry 6 เลือกนำเรื่องราวของเหล่าศัตรูตัวฉกาจมาถ่ายทอดผ่านสายตาของผู้เล่นเอง
ตลอดการเดินทางของ Pagan Min ตัวเอกจากภาค 4 ที่เราจะได้ควบคุมกันในเนื้อหาเสริมใหม่ล่าสุด Far Cry 6: Control นี้ ยังสอดแทรกอารมณ์ของตัวละครและน้ำเสียง ลักษณะท่าทางแบบแคสต์เดิมกันเป๊ะๆ ให้เราหายคิดถึง แต่ในขณะเดียวกัน มันกลับเป็นอะไรที่เพลย์เซฟมากๆ พอสมควร ซึ่งวันนี้เอง ThisIsGameBase ก็จะพาเราดำดิ่งไปยังห้วงจิตใจของวายร้ายเจ้าเสน่ห์คนนี้กัน ว่าแล้วอย่ารอช้ามาเริ่มต้นกันเลย
【โอ้ว่าอาณาจักรคีรัตในฝัน (ร้าย)】
เนื้อหาของตอนนี้เราจะได้รับบทเป็น Pagan Min ที่กำลังเฉลิมฉลองกับครอบครัวของตัวเองรวมไปถึง Ajay ตัวเอกจากภาค 4 ด้วย ทว่าทันใดนั้นเองกลับมีอสูรกายนั่นคือตัวเขาเองปรากฏตัวขึ้นมายิง ‘ลักษมาณา’ ลูกสาวจนเสียชีวิตและเขาเองก็ฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพโชกเลือด พร้อมกับเสียงของเธอที่คอยชี้นำในโลกแห่งฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด วิธีที่จะหนีพ้นก็คือเราต้องตามหาชิ้นส่วนหน้ากากทองคำทั้ง 3 เพื่อปลดล็อคปมในใจให้จงได้
เสน่ห์ของ FC6: Control ก็คือการเล่นเป็น Pagan Min มันสนุกไม่ใช่เล่น เพราะความกวนโอ๊ยของผู้ให้เสียงพากย์พี่แก ไดอะล็อกเจ็บแสบยังมีอยู่ครบถ้วน ครอบคลุมไปถึงความรักครอบครัวที่ส่งผ่านมายังข้อความของเมนูแผนที่ นอกจากนี้ยังมีอนิเมชั่นฆ่าที่เท่ด้วยเพราะปกติแล้วตัวละครอื่นอาจจะใช้มีดหรืออาวุธ แต่ Pagan เป็นปากกาเลี่ยมทองเจาะเข้าหัวศัตรูแบบจอห์นวิคกันเลย
【หิมาลายันแดนใจ】
โลกของ FC6: Control ถูกเนรมิตโดยมีอาณาจักรคีรัตเป็นต้นแบบ ผู้เล่นจะได้เห็นทัศนียภาพอันสวยงามของเทือกเขาหิมาลัยแต่สอดแทรกไปด้วยอารมณ์เซอร์เรียลเช่นก้อนเมฆที่ก่อตัวเป็นหน้าของ Pagan เอง หรือจะเป็นสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่ลอยไปมา พรมทางเดินลากยาวเป็นแคทวอล์ค สะท้อนถึงจิตใจที่บิดเบี้ยวของตัวเอกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สีสันของเกมยังดูจัดจ้านกว่าตัวเนื้อหาที่แล้วของ Insanity ซึ่งศัตรูของเกมนี้เป็นเหล่าทหารที่มีการสาดสีสไตล์นีออน เมื่อยิงพวกมันปุ๊บก็จะระเบิดกลายเป็นควันหายไป
ฉันใดก็ดีสิ่งที่น่ากังวลใจคือขนาดของแผนที่ต้องยอมรับว่าเล็กมากๆ เหมือนเราวิ่งอยู่ในดินแดนวงกลม แม้ว่าจะสวยและชวนให้หายคิดถึงแต่มันก็เล็กจนน่าใจหายอยู่เหมือนกัน โชคดีอย่างหนึ่งที่แต่ละโลเคชั่นมีลักษณะและสภาพแวดล้อมเฉพาะตัวทำให้เราได้มีอะไรสำรวจบ้าง มีอาคารใหญ่และป้อมปราการศัตรูตามฉาก และที่สำคัญเมื่อเคลียร์ภารกิจหรือไปยังจุดสำคัญต่างๆ จะมี Collectible ที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องให้เก็บเช่นภาพนิมิตที่เป็นความทรงจำของ Pagan เป็นต้น เช่นเดียวกับไฟล์เอกสารประกอบเรื่องราว
【เกมเพลย์】
ในส่วนของเกมเพลย์นั้นถ้าให้พูดจริงๆ ก็ยกยอดมาจาก Insanity เลยนั่นคือการจับเราเข้าสู่รูปแบบการเล่นแบบ Roguelite ผู้เล่นจะได้ตัวละครในสถานะเริ่มต้นแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย คอยฆ่าศัตรูเพื่อเก็บคะแนนที่เรียกว่า ‘ความเคารพ’ ซึ่งจะใช้ในการปลดล็อคสกิลต่างๆ ให้เรา โดยสกิลจะแบ่งออกเป็น Passive Skill (ทักษะถาวร) ที่อยู่ในเมนูปรับแต่งตัวละคร และอีกสกิลจะมาจากการเก็บตามฉากเช่นพลังอึดขึ้น โดยในเคสหลังจะเป็นรูปแบบสกิลที่เลือกติดตั้งได้ตามสล็อต พอเก็บได้ปุ๊บต้องตัดสินใจเลยว่าจะติดตั้งหรือขายสกิลทิ้ง เช่นเพิ่มขนาดแมกกาซีนเป็นต้น
นอกจากนี้ระหว่างทางเราจะไม่สามารถ Fast Travel ได้ ดังนั้นจึงต้องเดินเท้าเอาล้วนๆ แต่ก็ไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่เพราะอย่างที่ระบุข้างต้นก็คือแผนที่มันเล็กมาก วิ่งแปบๆ ก็เจอศัตรูดัก หรืออาจจะเจอสถานที่พิเศษเรียกว่า ‘เซฟเฮาส์’ ถ้าเกิดเราเคลียร์ฐานทัพนี้ได้จะปลดล็อคที่ไว้พักหายใจ มีกระจกหรือตู้เก็บอาวุธให้เราได้เติมของกันนั่นเองครับ อ้อ! แน่นอนว่าเมื่อเป็น Roguelite แบบนี้ประสบการณ์ก็จะโหดไม่ใช่ย่อยเพราะถ้าเราตัดสินใจเซฟแล้วออกจากเกมปุ๊บ จะมีแค่สกิลติดตั้งที่ยังคงอยู่กับเรา แต่ความคืบหน้าด้านเนื้อเรื่องจะหายเกลี้ยง เก็บหน้ากากกันใหม่แต่ต้น (ส่วนถ้าเกิดพลาดท่าให้ศัตรู หายยกชุดทั้งไฟล์เซฟและอาวุธ)
【เพลย์เซฟจนกลายเป็นเหล้าใหม่ในขวดเก่า】
ความน่าเสียดายก็คือเกมเพลย์ของ FC6: Control ดันเหมือนกับ Insanity ด้วยโครงสร้างภารกิจแบบเดียวกันเพียงแค่เปลี่ยนธีมมาให้เราหายคิดถึงตัวร้ายแค่นั้นเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่อะไรแต่รู้สึกว่าควรจะมีการดึงองค์ประกอบเก่าๆ จากเกมต้นฉบับมาใส่เอาไว้บ้างเพื่อให้มีเอกลักษณ์เพราะสถานะตอนนี้มันเพลย์เซฟมากๆ เหมือนกับเกมภาค 6 ตัวหลักที่ไม่ค่อยได้เปลี่ยนอะไรไปกับเขาสักเท่าไหร่
ประสบการณ์โดยรวมแล้วไม่ถือว่าไม่คุ้ม เพียงแต่เราอาจจะคาดหวังมากกันเกินไป คำว่าฝันร้ายที่รีวิวนี้กล่าวถึงก็คงไม่ต่างกับฝันร้ายของเกมเมอร์ที่รอชมรสชาติใหม่ๆ จึงแอบกลัวเล็กๆ ว่าตอนต่อไปของ Joseph จะกลายเป็นว่ากลับมาใช้แนวทางเกมแบบเดิมอีกไหม และที่ขาดไม่ได้คือคุณภาพการแปลภาษาไทยรอบนี้ด้อยกว่าเกมภาคหลักชัดเจน มีหลายครั้งที่ลักษมาณาเรียกแทนตัวเองว่าหนูบ้าง ฉันบ้าง สร้างความขัดตาเล็กๆ
ท้ายที่สุดแม้ว่า Far Cry 6: Control จะไม่มีความโดดเด่นเหมือนกับการพลิกโฉม DLC ในตอนที่แล้วกับ Vaas ใน Insanity แต่อย่างน้อยเราก็ได้หายคิดถึงและพบกับเรื่องราวที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งของเกมภาค 4 ซึ่งผู้ที่สนใจก็สามารถหาซื้อได้แล้วบนทุกๆ แพลตฟอร์มทั้งรูปแบบซื้อแยก (ต้องการเกม Far Cry 6) หรือจะเป็น Season Pass ที่มอบสิทธิ์พิเศษเข้าถึง DLC ใหม่ก่อนใครตั้งแต่วันแรก ที่สำคัญต้องขอขอบคุณ Ubisoft สำหรับโอกาสในการรีวิวเนื้อหาเสริมนี้ด้วยครับ