เลือกอะไรดีระหว่าง iPhone 13 และ iPhone 14
ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาคุ้มหรือไม่กับส่วนต่าง 3,000 บาทที่ต้องจ่าย
หลังจากที่เปิดตัวออกมาทำให้หลาย ๆ คนเกิดความลังเลไม่น้อยสำหรับใครที่รอคอยการมาถึงของ iPhone 14 แล้วหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงคงต้องผิดหวังกันไป และทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจไม่น้อยว่าหากเป็นเช่นนี้ยอมไปซื้อ iPhone 13 แทนจะดีกว่าหรือไม่ เนื่องจากหลาย ๆ อย่างดูไม่ได้ต่างกันไปมากนัก ฉะนั้นเราจะมาเปรียบเทียบให้ทุกคนได้เห็นกันว่าควรที่จะจ่ายเงินเพิ่ม 3,000 บาทเพื่อรุ่นใหม่หรือไม่ ***โดยเราจะอิงข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ของทาง Apple เท่านั้น
เริ่มกันที่จอแสดงผลทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.1 นิ้วเท่ากัน จอภาพเป็นแบบ Super Retina XDR ใช้งานพาเนล OLED รองรับการแสดงผลภาพ HDR ความละเอียดหน้าจอ 2532 x 1170 พิกเซล โดยที่มีค่าความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลอยู่ที่ 460 ppi การแสดงผลแบบ True Tone เรียกว่าหากดูกันในตอนนี้เรื่องของหน้าจอไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น
ในส่วนของชิปเซ็ตที่ใช้งานแม้ว่าจะเป็น Apple A15 Bionic เช่นกัน แบ่งเป็นจำนวนคอร์การทำงานของซีพียูที่ 6 core แบ่งเป็นคอร์ประสิทธิภาพ 2 core และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 core ขณะที่ชิป Neural Engine เป็นแบบ 16 core ส่วนที่แตกต่างกันจริง ๆ คือเรื่องของจีพียูที่มีการขยับจำนวนคอร์เพิ่มขึ้นมา 1 core สำหรับชิปเซ็ตที่ใช้งานใน iPhone 14 ทำให้มันไปเทียบเท่ากับที่เคยมีใช้งานใน iPhone 13 Pro นั่นเอง
ข้ามไปที่เรื่องของกล้องทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับกล้องความละเอียด 12MP พร้อมเลนส์ใช้งาน 2 ตัวเหมือนกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่แตกต่างกันจะอยู่ที่เลนส์หลักเมื่อ iPhone 14 มีค่ารูรับแสง f/1.5 ขณะที่ iPhone 13 อยู่ที่ f/1.6 ใหญ่ขึ้นมาจากเดิม ข้อแตกต่างอีกเรื่องคือการถ่ายคลิปที่ iPhone 14 รองรับการถ่ายโหมดภาพยนตร์สูงสุด 4K HDR 30fps แต่ iPhone 13 ทำได้เพียง 1080p 30fps อีกสิ่งที่ iPhone 14 มีและ iPhone 13 ไม่มีคือโหมด action ที่ช่วยในเรื่องของป้องกันการสั่นไหวของภาพโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริม
กล้องหน้าความละเอียด 12MP เท่ากัน แต่รูรับแสงของ iPhone 14 มีขนาด f/1.9 ขณะที่ iPhone 13 อยู่ที่ f/2.2 ถือว่ามีการอัปเกรดขึ้นชันเจน เช่นเดียวกับการที่รุ่นใหม่มาพร้อมกับระบบ auto focus ในตัว โหมดภาพยนตร์รุ่นใหม่ทำได้ที่ 4K HDR 30fps ส่วน iPhone 13 ทำได้ 1080p 30fps
แบตเตอรี่จากข้อมูล iPhone 14 สามารถที่จะทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมในทุก ๆ หมวดของการทดสอบที่ทาง Apple หมวดละ 1 ชั่วโมงไม่ว่าจะเป็น การเล่นวิดีโอ การเล่นวิดีโอ(ผ่านการสตรีม) และ การเล่นเสียง ส่วนเทคโนโลยีชาร์จทุกอย่างมีเหมือนกัน
สิ่งใหม่ที่ iPhone 14 จะได้คือเรื่องของฟีเจอร์ Crash Detection หรือการตรวจจับการชนที่จะช่วยให้ตัวเครื่องสามารถที่จะโทรไปหาหน่วยงานหรือเบอร์ฉุกเฉินที่ระบุเอาไว้เวลาที่เกิดเหตุชนกันให้อัตโนมัติ ขณะที่อีกฟีเจอร์คือการเชื่อมต่อเข้ากับสัญญาณดาวเทียมเพื่อขอความช่วยเหลือ ในกรณีที่ไปอยู่ในสถานที่ซึ่งไร้สัญญาณเข้าถึง
ในส่วนของอัตราส่วนของตัวเครื่องทุกอย่างเกือบจะเหมือนเดิม iPhone 14 อยู่ที่ 146.7 x 71.5 x 7.8 มิลลิเมตร ส่วน iPhone 13 อยู่ที่ 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร จากตัวเลข iPhone 14 จะมีความหนาขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนน้ำหนัก iPhone 14 อยู่ที่ 172 กรัม ส่วน iPhone 13 อยู่ที่ 173 กรัม
ราคาของทั้งสองรุ่นมีรายละเอียดดังนี้
– iPhone 14: 128GB 32,900 บาท / 256GB 36,900 บาท / 512GB 45,900 บาท
– iPhone 13: 128GB 29,900 บาท / 256GB 33,900 บาท / 512GB 42,900 บาท
จากข้อมูลที่เราได้ยกมาจะพบว่าทั้งสองเครื่องมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ไม่กี่จุด หากใครที่อยากได้เรื่องของกล้องที่มีรูรับแสงดีขึ้นกว่าเดิม พร้อมโหมดการใช้งานการถ่ายภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องของฟีเจอร์ตรวจจับการชนและการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม iPhone 14 ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีกับการจ่ายเพิ่ม 3,000 บาท แล้วได้ฟีเจอร์ซึ่งไม่สามารถหาได้ อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่สนใจเรื่องของราคาเป็นหลัก และอาจได้โปรที่ดีจากเครื่องรุ่นเก่าอย่าง iPhone 13 และแน่นอนว่าน่าจะใช้งาน iOS ไปได้ยาว ๆ เนื่องจากชิปเซ็ตรุ่นเดียวกัน รุ่นเก่าเป็นอะไรที่น่าสนใจเช่นกัน