
ผู้เขียน : GantaroZX
เผลอแปบเดียว The Last of Us ก็เข้าสู่ปีที่ 11 กันเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในช่วงระยะเวลาการฉลองครบรอบทศวรรษของแฟรนไชส์นี้ก็มีโปรเจ็กต์หลายโปรเจ็กต์เกิดขึ้น ทั้งการนำเกมมาดัดแปลงเป็นซีรีส์ที่ได้รับเสียงตอบรับท่วมท้นชนิดที่ไฟเขียวทำซีซันใหม่ทันที และการนำเกมภาคแรกฉบับรีเมคมาพัฒนาลง PC อย่างไรก็ตาม The Last of Us: Part II ที่เป็นอีกหนึ่งภาคยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จมากที่สุดด้วยยอดกว่า 10 ล้านชุด ก็ไม่น้อยหน้าส่งเวอร์ชันรีมาสเตอร์มายกระดับคุณภาพเกมให้ดีขึ้นไปอีกด้วยเช่นกัน
ในบทความนี้ก็ไม่พลาดที่จะได้รับโอกาสจากทาง Sony Interactive Entertainment ในการสัมผัส The Last of Us: Part II Remastered ก่อนใครเพื่อนำรีวิวมาเรียกน้ำย่อยก่อนเพื่อนๆ จะได้ไปสนุกกับเกมจริงๆ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และขอแง้มเอาไว้ก่อนเลยว่าภาคนี้จัดเต็มจนยิ่งกว่าคุ้มค่าเสียอีกเพราะนอกจากจะได้รับการปรับปรุงงานภาพให้สวยงามสมจริงยิ่งขึ้นแล้ว ยังมีระบบการเล่นใหม่ๆ มาเพิ่มความหลากหลายให้สนุกกว่าเดิม ทว่าจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ว่าแล้วอย่ารอช้ามาติดตามข้างล่างนี้เลยครับ
【โลกที่เนรมิตให้สวยงามกว่าเดิม】
การรีมาสเตอร์ใหม่ครั้งนี้ของ The Last of Us: Part II มาพร้อมกับประสบการณ์ที่โดดเด่นขึ้นในแง่ของงานภาพ จุดนี้เราน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าในภาคต้นฉบับทำมาตรฐานเรื่องรายละเอียดในเกมได้ดีมากจริงๆ ครับเพราะทีมงานให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อยไปจนถึงขั้นฟิสิกส์ของวัตถุในฉากอย่างเชือก หรือต้นไม้ใบหญ้าที่พลิ้วไหวตามการสัมผัสของตัวละคร รอยเท้าบนพื้นที่เราเหยียบย่ำ แต่การมาถึงของเวอร์ชันปัดฝุ่นใหม่นี้ทำให้ทุกอย่างดูชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการรองรับความละเอียดระดับสูง 4K พุ่งเป้าที่ 30FPS นอกจากนี้ยังมีดีเทลยิบย่อยที่แก้ไขและระบบการกระทบของแสง

อีกหนึ่งส่วนที่ผู้เล่นที่มาจากเครื่องเล่นรุ่นเก่า (ติ๊ต่างว่าเป็น PlayStation 4 รุ่นธรรมดา) จะได้เฮกันนั่นก็คือการรองรับโหมด Performance ที่ปลดล็อกให้การเล่นของเราราบรื่นยิ่งขึ้นด้วยเฟรมเรตที่ 60FPS ซึ่งโหมดนี้จะมีความละเอียดระดับ 1440p ที่ถือว่าสูงกว่าภาคต้นฉบับอยู่ดี และสามารถอัปสเกลเป็น 4K ด้วย แม้ดีเทลใหม่บางอย่างจะต้องถูกลดหลั่นไปเพื่อให้ได้เฟรมเรตที่ดี ทว่าขอให้มั่นใจได้ว่าการผจญภัยของ Ellie และ Abby จะพลิกโฉมไปจากเดิมได้แน่นอนครับเมื่อเทียบกันแล้ว เท่านั้นไม่พอยังอิมพอร์ตเซฟจากเกมภาคต้นฉบับมาใช้งานต่อได้ด้วย ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเก็บของปลดล็อกใหม่แต่อย่างใด
【Lost Levels หน้าหนังสือที่ขาดหาย】
จุดเด่นที่สำคัญนอกจากงานภาพสวยงามตามท้องเรื่องก็คือ Lost Levels คอนเทนต์เนื้อหาที่ถูกตัดออกไปจากเกม ส่วนนี้ขอบอกเลยว่าเด็ดดวงมากๆ เพราะทีมงานนำมาใส่ให้ถึงสามตอน แต่ละตอนก็จะมีธีมไม่เหมือนกันด้วย เมื่อเรากดเข้าเล่นแล้วจะมีคำสั่งย่อยให้เลือกว่าจะเล่นเกมโดยมีวิดีโอแนะนำ และออดิโอจากผู้พัฒนาที่จะเล่าถึงคอนเซปต์หรือเปล่า จุดนี้แล้วแต่ความสะดวก ทั้งนี้สำหรับใครที่เล่นครั้งแรกอยากแนะนำให้เปิดฟังดูแล้วเราจะเห็นถึงเบื้องหลังการออกแบบฉากไปจนถึงสาเหตุที่ถูกตัดออก โดยจะมีบางจุดที่ได้ยินปุ๊บก็อาจจะต้องร้อง อ๋อ! ทันทีด้วยเหมือนกัน
ความประทับใจจาก Lost Levels ที่ได้รับไม่ใช่แค่การเห็นเบื้องหลังการทำงานของ Naughty Dog เท่านั้น แต่ในแง่เนื้อเรื่องก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะถึงแม้ว่าสามฉากนี้จะไม่ได้มาปรากฏในเกมเต็มที่ได้รับการวางจำหน่ายในปี 2020 แต่เกร็ดเล็กน้อยก็ถูกนำมาถ่ายทอดเพื่อมิติของเกมด้วย ซึ่งถ้าเกิดว่าเราเลือกเปิดคำสั่งออดิโอของผู้พัฒนา จะมีไอคอนคำพูดอยู่ตามเส้นทางให้เราไปกดฟัง ทั้งนี้ต้องกล่าวเอาไว้ก่อนว่าฉากทั้งหมดจะไม่ได้อยู่ในสถานะสมบูรณ์เทียบเท่ากับเกมหลัก เราจะเจอโมเดลซ้ำบ้างหรืออนิเมชันที่ไม่ได้ครบถ้วน เพราะเป็นการตัดส่วนที่ ‘เคยอยู่’ ในการพัฒนามาให้เล่นจริงๆ ราวกับเป็นแฟนเซอร์วิสครับ
【โหมดการเล่นแบบ Roguelike】
และแล้วก็มาถึงหัวใจหลักที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างโหมด No Return ที่มาพร้อมกับเกมเพลย์แบบ Roguelike เต็มรูปแบบ เปลี่ยนอารมณ์จากการเดินทางตามเนื้อเรื่องมาเป็นการรับภารกิจตามฉากต่างๆ แทน แต่ขอบอกเลยว่าแม้จะมีความเป็นแอ็กชันมากขึ้นกว่าเดิม ทว่าความกดดันก็ยังคงมีครบถ้วน โดยผู้เล่นสามารถเข้าถึงโหมดนี้ได้ตั้งแต่เริ่มต้นเกมแบบไม่ต้องรอปลดล็อกแต่อย่างใด เมื่อเข้ามาแล้วก็เริ่มต้นง่ายๆ เพียงแค่เลือกระดับความยาก เลือกตัวละคร แล้วก็พร้อมลุยได้ทันที ซึ่งต้องยอมรับว่าเกมมีความยากพอสมควรแม้จะปรับระดับง่ายสุดแล้วก็ตาม อนึ่งอาจเป็นเพราะความคิดของเราเองที่มองว่าเป็น Roguelike จะสามารถลุยดะได้ ทว่าจริงๆ ก็คือ The Last of Us ตามเนื้อผ้าแท้ๆ เลย
ในหนึ่งรอบการเล่นของ No Return แบ่งออกเป็น 6 ฉาก ซึ่งเมื่อเริ่มต้นขึ้นมาแล้วผู้เล่นจะได้พักอยู่ในพื้นที่ Hub เล็กๆ มีจุดให้เราได้ซื้อไอเทม หรืออัปเกรดอาวุธเพื่อตระเตรียม จุดนี้ขอชื่นชมเพราะว่าในตัวละครกลุ่ม Ellie กับ Abby จะมีการตกแต่งพื้นที่นี้ไม่เหมือนกันด้วย ทว่ามันก็แฝงความรู้สึกว่าเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดของพวกเขา จะเป็นอะไรให้ไปลุ้นเอาเอง เมื่อเตรียมสัมภาระเสร็จสิ้นเราจะต้องเดินไปยังบอร์ดกลางฉากเพื่อรับภารกิจ โดยใน 6 ฉากนั้นจะสุ่มออกมาจากหลายๆ สถานที่ และอาจมี Perk ไม่มีเหมือนกัน เช่นฉาก Jackson ที่รอบหนึ่งอาจจะเป็นฉากที่หมอกลงจัด แต่อีกรอบอาจจะโล่งแจ้งไม่มีอะไรบดบังทัศนวิสัย และทุกฉากจะสุ่มศัตรูกับภารกิจด้วย ทั้งนี้ฉากสุดท้ายที่ปลายทางจะเป็นบอสเสมอ

กรณีที่ระหว่างทางเราพลาดท่า ทุกความคืบหน้าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเป็นเงิน ปืน หรืออัปเกรดที่ได้รับจากรอบนั้น จะถูกเกมริบคืนทันที มีเพียงแค่สถิติการเล่นที่จะถูกเซฟไว้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นตัวปลดล็อก Achievement หรือตัวละครและสกินใหม่ๆ ให้เรา เอ้อ! เกือบลืมไป ตัวละครทั้งหมดจะมีเทคนิคการเล่นที่ไม่เหมือนกัน เช่น Ellie ที่เป็นสายสมดุล และมีความสามารถในการคราฟต์ระเบิดขวด ขณะที่ Abby จะเน้นบุก ยิ่งใช้อาวุธระยะประชิดจะยิ่งได้รับฮีลให้กับตัวเอง พร้อมกันนี้ก็จะมีระบบ Leaderboard สำหรับอวดคะแนนกับเพื่อนๆ ที่จะเปิดในระบบออนไลน์เมื่อเกมวางจำหน่ายครับ ท้ายที่สุด No Return สามารถปลดล็อกโหมดคัสตอมให้เราปรับแต่งฉากได้อิสระด้วยเช่นกัน
【ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา】
นอกเหนือจากนั้นแล้วโบนัสอีกหนึ่งอย่างที่เพิ่มเข้ามาคือ Guitar Free Play ซึ่งจะเป็นการนำเกมเพลย์ช่วงเล่นกีตาร์มาต่อยอด หากยังจำได้ในตอนภาคต้นฉบับวางจำหน่ายส่วนนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมทีเดียวเพราะ Naughty Dog จำลองกีตาร์มาได้สมจริงมากจนสามารถเล่นเป็นเพลงได้จริงๆ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ได้เป็นโหมดแยก มีระบบการปลดล็อกเครื่องดนตรีใหม่ๆ และสามารถให้ตัวละครอื่นมานั่งเล่น เปลี่ยนสถานที่ ไปจนถึงมีเครื่องมือ Photo Mode เป็นของตัวเองเลยครับ และสำหรับใครที่อยากท้าทายความสามารถก็จะมีโหมด Speedrun ที่ปรับแต่งสำหรับคนที่ต้องการวิ่งเกมให้จบเร็วๆ ทำคะแนนแข่งกันโดยเฉพาะ

【บทส่งท้าย】
จากมุมมองของผู้เล่นที่ประทับใจกับเกมภาคสองที่เคยวางจำหน่ายเมื่อหลายปีก่อนต้องยอมรับเลยว่า The Last of Us: Part II Remastered ได้มอบประสบการณ์ที่เต็มอิ่มด้วยคุณสมบัติกราฟิกที่อัปเกรดตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ แม้เกมเพลย์และเนื้อหาหลักจะยังคงอยู่ครบถ้วนและไม่ได้รับการแตะต้อง ทว่าก็ขอบอกเลยว่าเป็นของเก่าลายครามที่เราชูไว้บนหิ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยความลงตัวของมันเอง และความดีงามอีกหนึ่งขั้นคือผู้เล่นเดิมยังสามารถอัปเกรดเกมสู่รูปแบบรีมาสเตอร์เพื่อรับฟังก์ชันทั้งงานภาพที่ดีขึ้นและโหมดการเล่นใหม่ๆ ได้ในราคาที่เกินคุ้มครับ

สำหรับใครที่สนใจ The Last of Us: Part II Remastered ก็รอกันอีกไม่นานเพราะในวันที่ 19 มกราคมนี้จะเริ่มวางจำหน่ายแล้วบน PlayStation 5 โดยยังคงรองรับคำบรรยายภาษาไทยเช่นเดิมสำหรับแฟนเกมบ้านเราทุกคน ซึ่งใครที่ไม่เคยเล่นมาก่อนและติดใจจากภาค Part I ที่เป็นการรีเมคในปี 2022 อยากกระซิบว่าคุณมาถูกที่แล้ว เพราะ The Last of Us: Part II Remastered ได้กลายเป็นตัวเลือกที่ดีและสมบูรณ์แบบที่สุดในการเล่น ณ ขณะนี้