เกม RPG คลาสสิก Romancing SaGa 2: Revenge of the Seven ที่แฟน ๆ ต่างรอคอยกลับมาอีกครั้งในรูปแบบรีเมค พร้อมกราฟิก 3 มิติสุดตระการตา เสียงพากย์ภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นคุณภาพสูง และเพลงประกอบที่เรียบเรียงใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น เรื่องราวของ 7 นักรบในตำนานที่เคยเป็นความหวังของอาณาจักร แต่กลับกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องโค่นล้ม
ในบทความนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสออกเดินทางไปสร้างตำนานมาแล้ว และผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะนำรีวิวมาให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 และถ้าหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยหลังจากที่รีวิวเผยแพร่ไปแล้วก็เป็นได้ครับ
[รีวิว] Romancing SaGa 2: Revenge of the Seven
- กราฟิกดีจนน่าประทับใจ แฟนยุคเก่าจะต้องกรี๊ด
- เกมเพลย์ Turn-Based RPG ที่มาพร้อมความลุ่มลึกในการวางแผนและการพึ่งดวง!
- ไม่มีเลเวล มีแต่การสะสมประสบการณ์ให้ตัวละครแข็งแกร่ง
- ระบบจุดอ่อน และระบบ United Attack คอมโบที่ทรงพลัง
- เรื่องราวที่เลือกได้แบบจริง ๆ
- ระบบการส่งต่อความสามารถที่โดดเด่น
- สรุปรีวิว Romancing SaGa 2: Revenge of the Seven
กราฟิกดีจนน่าประทับใจ แฟนยุคเก่าจะต้องกรี๊ด
สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงเลยก็คือ กราฟิกภายในเกมนี้ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทำให้จากเกมต้นฉบับที่เป็นเกมกราฟิกพิกเซลธรรมดา ๆ กลายเป็นกราฟิก 3 มิติสวยงามอลังการซึ่งหากใครที่เคยเล่นเกมต้นฉบับมาก่อนก็จะต้องกรี๊ดเป็นอย่างมาก ในขณะที่ผู้เล่นที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนก็จะต้องประทับใจกับกราฟิกที่สวยงามตามแบบฉบับเกมกราฟิกการ์ตูนยุคใหม่นั่นเอง
นอกจากกราฟิกโดยรวมแล้ว เอฟเฟกต์ของเกมยังถือว่าทำออกมาได้ดีในระดับที่น่าประทับใจ แม้ว่าจะไม่ได้อลังการงานสร้างเหมือนกับเกมอื่น ๆ ที่มีในปัจจุบัน แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีที่เล่นแล้วไม่รู้สึกขัดตาจนเกินไป และในส่วนของความลื่นไหลของการเล่นเกมนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ดีเช่นกัน โดยอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของตัวละครก็ถือว่าทำออกมาได้ดี แม้ว่าอาจจะมีขัดใจเล็กน้อยที่ตัวละครในฉากทั่ว ๆ ไปเวลาที่ลงดันเจี้ยนนั้นดูเหมือนว่าจะถูกลดเฟรมเรตลง ทำให้เราได้เห็นมอนสเตอร์เหล่านั้นเคลื่อนไหวตะกุกตะกักในระยะห่าง แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ ก็จะเห็นมันเคลื่อนไหวตามปกตินั่นเอง
เกมเพลย์ Turn-Based RPG ที่มาพร้อมความลุ่มลึกในการวางแผนและการพึ่งดวง!
เกมเพลย์หลักของเกมนี้ก็คือการต่อสู้แบบ Turn-Based RPG ที่เราจะต้องเลือกคำสั่งให้ตัวละครออกแอ็กชั่นตามแผนการที่เราวางไว้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตี การใช้สกิล การป้องกัน การใช้ไอเทม และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งภายในเกมนี้ก็ยังคงความลุ่มลึกไว้ได้เป็นอย่างดีด้วยระบบมากมาย ซึ่งผู้เขียนจะขอแยกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ตามนี้ครับ
เริ่มต้นจากการวางแผนการจัดทัพของตัวละครภายในเกมนี้ที่ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าตัวละครของผู้เล่นนั้นจะยืนอยู่ในกระบวนทัพแบบใด ซึ่งกระบวนทัพแต่ละแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกใช้งานได้ตามความต้องการ รวมไปถึงตามสถานการณ์ของผู้เล่นเอง ซึ่งองค์ประกอบของเกมนี้ทำให้ผู้เขียนชอบเกมนี้มากขึ้นหลายเท่าตัว เพราะเป็นอีกหนึ่งระบบที่ดีมาก ๆ แต่หลาย ๆ เกมไม่ได้ใส่เข้ามา เพราะระบบนี้ทำให้ความลุ่มลึกของการวางแผนการต่อสู้นั้นสูงขึ้นเยอะมาก ๆ ฉะนั้นหากใครชอบเล่นเกมที่ต้องใช้กลยุทธ์เพิ่มเติม จะต้องชอบระบบนี้แน่นอนครับ
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่เป็นจุดเด่นของซีรีส์นี้ก็คือการหาสกิลมาใช้งาน ที่จะต้องมาจากการเข้าต่อสู้เท่านั้น (ในเกมเรียกว่าระบบ Glimmer) ซึ่งการได้มาของสกิลก็จะเป็นแบบใช้ดวงเข้ามาเป็นส่วนร่วมหลัก ๆ โดยตัวเกมจะมีการระบุมาให้ว่า “ใช้ท่าโจมตีท่าใด แล้วมีโอกาสจะได้สกิลใหม่” อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่าเรากดใช้ท่าโจมตีนั้น ๆ แล้วจะได้สกิลใหม่ทันที บางทีก็อาจจะใช้งาน 2-3 ครั้งก็ได้แล้ว บางครั้งต้องใช้เป็น 10 ครั้ง บางครั้งมากกว่านั้นจนลืมนับก็ได้ ทำให้ฟีเจอร์นี้เป็นจุดเด่นที่แอบทำให้หัวร้อนได้ไม่น้อยเช่นกัน
สิ่งที่ผู้เล่นควรจะระวังหน่อยก็คือแต้ม LP (Life Point) ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปในตอนแรก ซึ่งแต้มนี้ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้เกมนี้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น โดยตัวละครแต่ละตัวจะมีค่า LP ติดตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ตัวละคร HP เหลือ 0 ในการต่อสู้ ก็จะทำให้ LP ลดลงไป 1 แต้ม แม้ว่าฟังดูอาจจะไม่น่ากลัวอะไร แต่หากตัวละครดังกล่าวค่า LP ลดลงเหลือ 0 ก็จะทำให้ตัวละครนั้นตายถาวร! ใช่ครับ… ถาวร! ไม่ว่าเราจะปั้นมาดีแค่ไหนก็ตามตัวละครนั้นก็จะหายไปทันที และด้วยองค์ประกอบนี้เองทำให้การต่อสู้ของผู้เล่นไม่ได้โฟกัสที่การโจมตี แต่ต้องระวังไม่ให้ตัวละคร HP เหลือ 0 ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น!
ไม่มีเลเวล มีแต่การสะสมประสบการณ์ให้ตัวละครแข็งแกร่ง
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจภายในเกมนี้ก็คือการที่ตัวเกมไม่ได้มีค่าประสบการณ์เพื่ออัปเลเวลตัวละครแต่อย่างใด แต่ตัวละครจะเติบโตผ่านการสะสมแต้มที่จะแบ่งออกเป็นแต้มค่า HP/BP และแต้มความสามารถของอาวุธ ซึ่งผู้เล่นจะได้ประสบการณ์ทุกครั้งหลังต่อสู้เสร็จสิ้น โดยแต้มเหล่านั้นจะถูกนำมาเพิ่มให้กับตัวละครทั้งค่า HP/BP และอาวุธที่ใช้งานในรอบนั้น ๆ ซึ่งหากแต้มที่สะสมถึงที่กำหนดก็จะทำให้ตัวละครมีความสามารถที่สูงขึ้นในการใช้อาวุธนั้น ๆ รวมไปถึงมีค่า HP/BP ที่สูงขึ้นด้วยนั่นเอง
ฟีเจอร์นี้ก็เป็นอีกหนึ่งระบบที่ทำให้เกมนี้ดูแตกต่างไปจากเกม RPG อื่น ๆ ที่มุ่งเน้นการอัปเลเวลเพื่อเพิ่มค่าสถานะหลักของตัวละครนั้น ๆ ทำให้เกมนี้ผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องฟาร์มเพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้อาวุธของตัวละครเป็นหลักแทน ฉะนั้นการฝึกฝนให้ตัวละครใช้อาวุธที่หลากหลายก็เป็นคำตอบที่ดีที่จะทำให้ตัวละครของเราแข็งแกร่งขึ้นนั่นเอง
ระบบจุดอ่อน และระบบ United Attack คอมโบที่ทรงพลัง
ต่อมาก็คือระบบจุดอ่อนภายในเกมนี้ที่ผู้เล่นหลายคนจะคุ้นชินกันแล้ว โดยศัตรูภายในเกมนี้จะมีจุดอ่อนอยู่ทุกตัว โดยแต่ละตัวจะมีจุดอ่อนไม่เหมือนกัน ซึ่งครั้งแรกที่ผู้เล่นได้พบเจอกับศัตรูเหล่านี้เราจะยังไม่ทราบว่าตัวละครดังกล่าวแพ้ทางการโจมตีประเภทไหน ซึ่งการที่เราจะรู้ได้ก็คือต้อง “ทดลองโจมตีด้วยอาวุธ และธาตุที่หลากหลาย” ซึ่งบางตัวอาจจะแพ้การโจมตีด้วยหอก, ธนู หรือพลังธาตุไฟ หรือลม เป็นต้น ซึ่งหากเราโจมตีจุดอ่อนของพวกมันก็จะทำดาเมจได้สูงกว่าปกติ
นอกจากนี้ United Attack เป็นอีกหนึ่งท่าโจมตีที่ถูกเพิ่มเข้ามาภายในเกมนี้ โดยการใช้ท่า United Attack จะเป็นการทำให้ตัวละครที่เลือกใช้งาน และตัวละครที่อยู่ลำดับถัดไปใช้ท่าโจมตีต่อเนื่อง ซึ่งจะมีความรุนแรงกว่าแยกกันโจมตี ซึ่งระบบนี้ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากในเวลาคับขับ อย่างไรก็ตามการที่ผู้เล่นจะใช้ท่าโจมตีนี้ได้ก็จำเป็นที่จะต้องเก็บเกจคอมโบให้เต็มเสียก่อน
และเมื่อนำ 2 ประเด็นนี้มารวมกันก็จะกลายเป็นจุดเด่นของเกมนี้ไปโดยปริยายก็คือ หากเราเลือกใช้ท่า United Attack ที่ศัตรูมีจุดอ่อนอยู่แบบเต็ม ๆ ก็จะทำให้เราทำดาเมจได้สูงลิบลิ่วจนทำให้บางครั้งบอสที่ว่าโหดก็อาจจะแพ้เราได้อย่างง่ายดายนั่นเอง ซึ่งผู้เขียนเองก็ต้องยกนิ้วให้ระบบเหล่านี้เป็นอย่างมาก เพราะระบบเหล่านี้ทำให้เกมเพลย์ต่อสู้มีความลึกซึ้งมากขึ้นตามไปด้วย
เรื่องราวที่เลือกได้แบบจริง ๆ
Romancing SaGa 2 เป็นเกมที่โดดเด่นด้วยความอิสระในการเล่นที่สูงมาก หลังจากผ่านช่วงแนะนำไปแล้ว ผู้เล่นจะพบว่ามีเส้นทางและวิธีการเล่นที่แตกต่างกันออกไปมากมาย ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการเล่นเกมนี้ (แม้ว่าจะมีวิธีการเล่นที่เหมาะสมที่สุดอยู่ก็ตาม) โดยตลอดการเล่นเกมนี้ผู้เล่นจะได้พบกับตัวเลือกมากมายที่จะส่งผลต่อทิศทางของเรื่องราว รวมไปถึงความลับหลาย ๆ อย่างที่จะต้องใช้วิธีการเฉพาะในการเข้าถึง เช่น มีแม่มดที่ขายยาที่ทรงพลัง แต่ผู้เล่นอาจจะพลาดโอกาสได้พบกับเธอไปเลย ถ้าหากไม่ได้พูดคุยกับ NPC ให้ถูกต้องเสียก่อน ทำให้ผู้เล่นที่ชอบเกมที่มีโครงสร้างชัดเจนและรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อาจจะรู้สึกหงุดหงิดไปบ้าง แต่ถ้าใครชอบการสำรวจแล้วล่ะก็เกมนี้คือสวรรค์เลยทีเดียว!
ระบบการส่งต่อความสามารถที่โดดเด่น
ภายในเกมนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Inheritance System ซึ่งเป็นระบบที่โดดเด่นอย่างมาก โดยระบบนี้จะทำให้จักรพรรดิองค์ใหม่สืบทอดสกิล เลเวล และค่าสถานะต่าง ๆ จากจักรพรรดิองค์ก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น หากจักรพรรดิองค์ก่อนมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์แสงระดับ 10 จักรพรรดิองค์ใหม่ก็จะได้รับความสามารถนี้ไปเช่นกัน รวมไปถึงหากจักรพรรดิองค์ก่อนหน้ามีความสามารถในการใช้ดาบ และธนู จักรพรรดิองค์ใหม่ก็จะได้รับความสามารถนั้นมาด้วย อีกทั้งจักรพรรดิแต่ละองค์ยังมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละรุ่น ทำให้เกมง่ายขึ้นในระยะยาว
ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่ทำให้การเล่นเกมของผู้เล่นไม่รู้สึกสูญเปล่าแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวละครหลักของผู้เล่นไปเรื่อย ๆ เพราะทุก ๆ ความยากลำบากของผู้เล่นจะถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งจะทำให้ตัวละครของผู้เล่นแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำให้เราได้เห็นการเติบโตไม่ใช่แค่เฉพาะตัวละคร แต่เป็นสายเลือดเลยทีเดียว
สรุปรีวิว Romancing SaGa 2: Revenge of the Seven
Romancing SaGa 2: Revenge of the Seven เป็นอีกหนึ่งเกมรีเมคที่ทำออกมาได้สมศักดิ์ศรีในทุกมุมมอง แม้ว่าจะมีองค์ประกอบบางอย่างที่อาจจะชวนหัวร้อนไปบ้าง เช่นระบบ Glimmer ที่เน้นดวงพอสมควร แต่ก็ทำให้เกมสนุกไปอีกแบบ ในขณะที่กราฟิก เกมเพลย์ และองค์ประกอบอื่น ๆ นั้นทำออกมาได้ดีอย่างที่ได้ระบุไว้ ซึ่งผู้เขียนรับรองได้ว่าสาวกเกม JRPG จะต้องเล่นแล้ววางจอยไม่ลงอย่างแน่นอน
ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 9.5 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ
จุดเด่น
- กราฟิกรีเมคที่ทำให้เหมือนกับเป็นเกมใหม่ไปเลย
- เกมเพลย์ที่ล้ำลึกในหลาย ๆ จุดซึ่งเป็นเสน่ห์ของเกมนี้
- ดนตรีประกอบเวอร์ชั่นรีเมคที่ไพเราะไม่แพ้ต้นฉบับ
- ระบบการเลือกเนื้อเรื่องที่เปิดกว้าง
ข้อสังเกต
- อนิเมชั่นมอนสเตอร์ที่ขยับกระตุกไปหน่อยเวลาอยู่ห่างออกไป
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment ที่เอื้อเฟื้อและสนับสนุนเกมมาให้เราได้รีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…
ข้อมูลเพิ่มเติมและสั่งซื้อ : Romancing SaGa 2: Revenge of the Seven