แฟนๆ เตรียมลุ้นซีรีส์ Assassin’s Creed บน Netflix หลังจากเฟลกับเวอร์ชั่นหนังปี 2016
พร้อมประกาศนักแสดงคนแรกของ Assassin’s Creed เวอร์ชันคนแสดง

Netflix ประกาศชัดเจนว่านักแสดงหนุ่มชาวออสซี่ Toby Wallace (จาก Babyteeth, The Bikeriders และซีรีส์หลายเรื่อง) คือ “series regular” คนแรกของ Assassin’s Creed เวอร์ชันคนแสดง หมายความว่าเขาเป็นแกนหลักของโปรเจกต์นี้เลยทีเดียว

แต่ทาง Netflix ยังไม่บอกว่า Wallace จะรับบทเป็นใคร ทั้งชื่อ ตัวละคร และช่วงเวลาที่เรื่องเกิด ยังถูกปิดไว้เป็นความลับเหมือนเนื้อเรื่องในเกมเดิมเลยครับ
โปรเจกต์นี้คืออะไร และทำไมแฟนเกมควรสนใจ
- โปรเจกต์ซีรีส์ Assassin’s Creed มาจากความร่วมมือระหว่าง Netflix กับ Ubisoft เจ้าของแฟรนไชส์เกม โดยเปิดไฟเขียวให้ผลิตซีรีส์ live-action เป็นทางการเรียบร้อย หลังจากประกาศดีลกันไปตั้งแต่ปี 2020
- ทีมคุมโปรเจกต์คือ Roberto Patino (จาก Westworld / DMZ) และ David Wiener (จาก Halo adaptation) พูดง่ายๆ คือ ผู้กำกับ/ showrunner ที่เคยผ่านงานแอ็กชัน / Sci-Fi มาแล้วทั้งนั้น นั่นทำให้แฟนเกมอาจวางใจได้ว่าโปรเจกต์นี้อาจทำได้ “จริงจัง” มากกว่าภาพยนตร์ปี 2016 ที่เคยออกไป (และโดนแฟนเกมด่าไว้หนัก)
- กลิ่นไอที่ Netflix สื่อในประกาศ คือ “high-octane thriller” สงครามลับระหว่างสองฝ่ายลับ (คุ้นๆ ไหม… Assassin vs Templar) เพื่อ “ชะตากรรมมนุษยชาติ” และ “เสรีภาพ” เสมือนหัวใจของเกมต้นฉบับที่แฟนเกมรักกันมาตั้งแต่ปี 2007
ทำไมแฟนเกมควรลุ้นคูณสอง เพราะมันมีจุดที่มีโอกาสเวิร์กจริง
- เพราะเป็นซีรีส์ มีเวลาให้ปูเนื้อเรื่อง ย้อนอดีต ปูตำนาน และใส่ตัวละครหลายตัว ให้ครบองค์ประกอบของเกมต้นฉบับ (ไม่ใช่แค่ฉากแอ็กชันอย่างเดียว)
- ทีมผู้สร้างดูมีประสบการณ์กับซีรีส์แนวเข้มข้น ถ้าจัดบทดี แฟนเกมอาจได้เห็นมิติของ Assassin’s Creed ที่เหมือนต้นฉบับ ทั้งเรื่องราว การเมือง เงื่อนงำ และแรงปรัชญาที่เกมส่งสารมายาวนาน

แต่… ยังมีอะไรให้ลุ้นอยู่เยอะ
- เวอร์ชันหนังปี 2016 เคยพลาดมาแล้ว ถึงแม้จะมีทุนใหญ่ แสดงโดยนักแสดงระดับฮอลลีวูด แต่หลายคนวิจารณ์ว่า “ไม่โดนใจ” แฟนเกม เพราะบทเบาเกินไป และไม่เคารพ lore ดั้งเดิมของเกมเลย
- Netflix ยังไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญหลายอย่าง ใครคือฝ่าย Assassin / Templar ตัวละครจะมาจากเกมไหน คาบเกี่ยว timeline ไหน รวมถึงชื่อ cast อื่นๆ ทำให้ยากจะประเมินว่า ซีรีส์จะ “ขุดอะไร” จากเกมต้นฉบับจริงๆ
ถาได้เป็นพวกเกมเมอร์ที่โตมากับ Assassin’s Creed เราเข้าใจดีว่า “จุดแข็ง” ของแฟรนไชส์ไม่ใช่แค่ตีลังกาไล่ฆ่า แต่คือ “เรื่องราว” สายลับ ลัทธิ ความเชื่อ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และการค้นหาความหมายของเสรีภาพ ถ้าซีรีส์เวอร์ชันนี้สามารถจับจุดนั้นได้ ผสมแอ็กชัน+ดราม่า+การเมือง+ประวัติศาสตร์ มันอาจเจ๋งระดับ “แบบที่แฟนเกมอ่านจบแล้วจะพร้อมกลับไปเล่นเกมซ้ำใหม่อีกรอบ”
แต่ถ้ามันออกมาแค่ “หนังแอ็กชันเร็วๆ” แล้วละก็… มันอาจกลายเป็นอีกหนึ่ง adaptation ที่ “ผ่านมาแล้วลืมไป” เหมือนเวอร์ชันภาพยนตร์ 2016
สามารถติดตามข่าวสารอื่น ๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์ได้ที่ GamerCulture





