เป็นเวลาเกือบ 2 ปีเต็มแล้วครับหลังจากที่ Sony ได้ก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ของเกมคอนโซลด้วยเครื่องเล่น PlayStation 5 ที่มาพร้อมพลังประมวลผลที่เหนือชั้นขึ้น รองรับประสบการณ์ระดับพรีเมียมยิ่งกว่าที่เคยด้วยรูปโฉมสุดเฟี้ยวเงาะ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าช่วงแรกจะมียอดขายที่สูงอย่างรวดเร็ว แต่ภายหลังอัตราการขายต่อเดือนนั้นกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัดด้วยปัญหาการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อตลาด
ด้วยเหตุนี้ เครื่องเล่นเกม PlayStation 5 จึงทำยอดขายได้ราวๆ 20% เท่านั้นจากยอดขายเครื่องเล่นรุ่นที่แล้ว ณ ปัจจุบัน แถมยอดก็นิ่งที่หลักนี้มานาน และหลายคนเองก็เกิดความกังวลว่าหากสถานการณ์สต๊อกสินค้ายังไม่ดีขึ้น แบบนี้ผู้พัฒนาจะโยกย้ายไปทำเกมบนเครื่องเล่นรุ่นใหม่ทั้งหมดหรือเปล่า ซึ่งล่าสุด Hermen Hulst หัวหน้าใหญ่ของ PlayStation Studios ก็ได้ออกมาเรียกขวัญกำลังใจแฟนๆ แล้วว่ายังไม่มีแผนทอดทิ้งเครื่องเกมเก่าเร็วๆ นี้แน่นอน
เขากล่าวต่อว่าในปี 2023 นี้จะยังมีการพัฒนาเกมใหม่เวอร์ชั่น PlayStation 4 ควบคู่กันไปเนื่องจากไม่อยากลืมฐานแฟนคลับนับล้านคนที่ยังคงใช้เครื่องเล่นรุ่นเก่าอยู่ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเกมคุณภาพยอดเยี่ยมกันได้ต่อไป อย่างไรก็ตามจะต้องมีการพิจารณาไปทีละเกม ซึ่งสังเกตได้ว่ามีอยู่บ้างบางส่วนที่ถูกพัฒนาเพื่อเครื่องเล่นเน็กซ์เจ็นโดยเฉพาะเช่น Returnal และ Ratchet & Clank เป็นต้น แต่เกมเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นเกมแถวหน้าอยู่แล้ว
ความน่าสนใจก็คือ ก่อนที่เครื่องเล่นเกมรุ่นใหม่จะวางขาย Sony ได้ระบุชัดเจนว่าจะสนับสนุนเครื่องเล่นรุ่นเก่าเพิ่มเติมอย่างน้อยเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งในปีหน้านี้เองก็จะครบกำหนดแล้ว และหลังจากนี้ก็คงเป็นความท้าทายและกำแพงที่ต้องก้าวข้ามเนื่องจาก Sony ต้องเลือกว่าจะยอมลดเกรดเกมใหม่ๆ เพื่อวางขายบนเครื่องรุ่นเก่าต่อไปท่ามกลางสถานการณ์เครื่องวางขายได้ไม่พอ หรือว่าจะยอมทำตามปณิธานเดิมที่ตั้งใจตั้งแต่ต้น จุดนี้รอชมกันได้เลยครับ (แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนยัง ออกมาขยายเส้นตายถึงปี 2025 อยู่เลย)
PlayStation 4 วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2013 พร้อมกับเกมเปิดตัวมากมายไม่ว่าจะเป็น Assassin’s Creed IV: Black Flag, Killzone: Shadow Fall และ Injustice: Gods Among Us โดยภายหลังมีการแบ่งรุ่นวางจำหน่ายออกเป็นสองรุ่นคือ Slim และ Pro เพื่อรองรับการใช้งานจากกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้นรวมไปถึงลดราคาเครื่องลงให้เข้าถึงผู้เล่นใหม่ด้วย ปัจจุบันตัวเครื่องรุ่น Slim ยังคงวางจำหน่ายในตลาดอยู่ในราคา $299