สวัสดีครับเพื่อน ๆ เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่น่าจะผ่านการเล่นเกมมาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นเกม Console, PC, เกมมือถือ, หรือ Handheld ไม่ว่าจะเล่นเครื่องอะไรมานั้นวงการเกมก็มักจะมีการพัฒนาอยู่เสมอ เพราะมันเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่ล้ำยุคขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่เล่นเกมหรือติดตามข่าวสารเกมอยู่เป็นประจำก็จะได้ปรับตัวตามเทรนด์อยู่เสมอ แต่หากลองมองย้อนกลับไปแล้วคิดถึงตัวคุณเอง คุณก็จะรู้ว่า ถ้าให้เรากลับไปเล่นเกมแบบเมื่อก่อนก็คงจะทำได้ไม่เต็มที่ มันจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในใจเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปคเครื่อง เรื่องของภาพ เรื่องของแพลตฟอร์ม จนเรารู้สึกว่าถ้าให้เรากลับไปเล่นแบบเก่าก็คงจะไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่มันจะมีอาการแบบไหนบ้างที่เกิดกับความรู้สึกเรา ไปชมกันครับ
1. Resolution ต่ำ ภาพไม่ชัดไม่ได้แล้ว
เชื่อว่าเรื่องนี้หลาย ๆ คนน่าจะเป็นกัน และไม่ได้มีแค่คนไทย แต่มันเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก ไม่งั้นเกมยักษ์ใหญ่หลาย ๆ เกมคงไม่ลงทุนทำเวอร์ชั่น Remaster เพื่อเสริมความคมชัดของภาพให้ดีขึ้นหรอกครับ เพราะหากมองย้อนกลับไปสมัยก่อน จอทีวีหรือจอ PC ของเรานั้นก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไร Resolution ก็ค่อนข้างต่ำ ยุค ๆ นึงการมีหน้าจอถึง 1024 x 768 ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ใหญ่มากแล้ว แต่ทุกวันนี้กลับกลายเป็นว่าเป็นขนาดหน้าจอที่เล็กสุด ๆ ไม่ถึงขั้นมาตรฐานของยุคปัจจุบันซะด้วยซ้ำ และถ้าจะให้เราเล่นเกมด้วย Resolution ต่ำแล้วภาพแตกเหมือนเมื่อก่อน บอกเลยว่าทำใจยากจริง ๆ ครับ
2. ขนาดจอเล็กไป กดไม่โดน เล่นไม่ถนัด
หันมาพูดถึงเกมมือถือกันบ้าง เอาจริง ๆ เกมมือถือมันก็เริ่มมีมาตั้งแต่ช่วงเข้ายุค 2010 ต้น ๆ แล้วล่ะ และมันก็พัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ควบคู่กับวงการสมาร์ทโฟน ช่วงแรกเราก็จะรู้สึกว่ามันเหมือนมีเครื่อง Handheld ที่โทรออกได้ ทุกคนมีเครื่องติดตัว เพราะงั้นจึงตื่นเต้นและสนุกไปกับการเล่นเกมบนสมาร์ทโฟนถึงแม้ขนาดหน้าจอจะแค่ 4 นิ้วก็ตาม แต่ในยุคปัจจุบันที่หน้าจอมือถือมันใหญ่ขึ้นเป็น 5-6 นิ้วกันหมดแล้ว บอกเลยว่าการเล่นเกมมันสะดวกสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้เรากลับไปเล่นจอ 4 นิ้วเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว เพราะกดไม่โดน ความแม่นยำลดฮวบ ทั้งที่เมื่อก่อนก็ยังเล่นได้แต่ตอนนี้ขอบายละกันคร้าบ
3. FPS ต่ำกว่า 60 แล้วเล่นไม่สนุก
ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เชื่อว่าทุกคนต้องผ่านการเล่นเกมแบบต่ำกว่า 30 FPS อย่างแน่นอน แม้ปัจจุบันมาตรฐานจะเปลี่ยนไปแล้ว เกมมือถือเริ่มต้นที่ 30 FPS และปรับเรท 60 FPS ได้จนเกือบหมด ส่วนเกม PC หรือ Console ไม่ต้องพูดถึงเพราะมันทำได้สูงกว่านั้น แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เล่นเกมมาอย่างโชกโชน และมีงบพอที่จะซื้อเครื่องสเปคสูงไว้เล่นเกมแบบลื่น ๆ การที่จู่ ๆ จะให้คุณกลับมาเล่นเกมที่มี FPS ต่ำกว่า 60 บอกเลยว่าใจคุณจะถอยห่างอย่างแน่นอน เพราะคุณเคยเล่นเกมแบบลื่น ๆ มาแล้ว จู่ ๆ จะให้มาเล่นแบบภาพหยาบ ๆ ก็คงจะไม่สนุกแล้วล่ะครับ มันติดใจไปแล้ว
4. ถ้าต้องปรับกราฟิก Low ขอไม่เล่นดีกว่า
ข้อนี้อาจจะเกิดขึ้นกับบางคน เพราะถ้าเกมมันดีจริง เพื่อนเล่นเยอะ หรือเล่นแข่งขันจริงจังเพื่อจะเอาชนะ การปรับ Low ก็ถือว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่อาจทำให้คุณก้าวเข้าสู่ชัยชนะได้ใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าว แต่ถ้าคุณไม่ได้แข่งขันกับใคร เล่นเกมคนเดียว เล่นเกมเนื้อเรื่อง คุณอาจจะเคยเล่นเกมใหญ่ ๆ แล้วปรับ High มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่จู่ ๆ เครื่องของคุณก็ตกยุคโดยไม่รู้ตัว เกมใหม่ที่ออกมากินสเปคเครื่องค่อนข้างมาก และเครื่องของคุณก็จำเป็นต้องปรับ Low เท่านั้นถึงจะเล่นได้ เมื่อถึงเวลานั้นคุณอาจมีความรู้สึกว่าถ้าจะต้องปรับภาพห่วยขนาดนี้ ขอไม่เล่นมันเลยดีกว่า
5. ติด Gaming Gear มากกว่าอุปกรณ์ทั่วไป
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ว่าวงการ Gaming Gear เป็นวงการที่เข้าแล้วออกยากจริง ๆ โดยเฉพาะเมาส์กับคีย์บอร์ดเนี่ย เชื่อว่ามีหลายคนติดใจจนไม่สามารถย้อนกลับไปใช้อุปกรณ์ทั่วไปหรือของใช้ออฟฟิศธรรมดาได้ ทั้งที่เมื่อก่อนก้าวแรกของทุกคนยังไงก็ต้องเคยใช้ของทั่วไปมาก่อน ไม่ว่าจะจากการเรียนคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียน หรือ PC เครื่องแรกก็น่าจะต้องเปิดตัวแบบธรรมดาก่อน ดังนั้นทุกคนเคยใช้ของทั่วไปราคา 200-300 บาทอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณก้าวเข้ามาสู่วงการ Gaming Gear ยิ่งเฉพาะ Gaming Gear ที่มียี่ห้อดี ๆ แบรนด์ดัง ๆ ที่เรารู้จัก บอกเลยว่าคุณมูฟออนออกไปจากวงการนี้ไม่ได้อีกแล้วครับ มันจะรู้สึกไม่เข้ามือขึ้นมาทันที
6. ถือจอยแบบมีสายอาจรู้สึกติดขัด
สำหรับเพื่อน ๆ สาย Console เชื่อว่ายังไงก็ต้องเคยเล่นเกมที่จอยเกมจะต้องเชื่อมกับตัวเครื่องเสมอ นั่นหมายความว่าคุณไม่สามารถนั่งเล่นเกมได้ห่างจากตัวเครื่องเพราะระยะของสายมีจำกัด ไม่เหมือนยุคจอย Wifi ที่คุณเปิดเครื่องแล้วจะเอาจอยมานั่งเล่นบนโซฟาห่างแค่ไหนก็ได้ จะไปนอนเล่นบนเตียงก็ได้ มันเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นตามยุคสมัย แต่เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนั้น คุณอาจสายตาสั้นได้จากการนั่งหน้าจอนาน ๆ หรือจำเป็นต้องหาส่วนขยายเพื่อให้สายมันยาวขึ้น แล้วเวลาเล่นก็จะมีสายสะบัดไปมาตามแรงเหวี่ยง ถ้าต้องกลับไปเล่นจอยมีสายแบบนั้นมันไม่ถนัดแล้วล่ะครับ
7. กลับไปเล่นเกมเก่าไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อน
เกมเก่าก็คือเกมเก่าครับ มันเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ แม้ว่ามันจะสร้างความทรงจำที่ดีให้กับคุณขนาดไหน แต่ความรู้สึกของคุณย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาแน่นอนถ้าคุณเล่นเกมอยู่ตลอด เกมทุกวันนี้ก็พัฒนาขึ้น ดีขึ้น เจ๋งขึ้น ทุกวี่ทุกวัน มันธรรมดาอยู่แล้วที่เกมเก่าจะสู้เกมใหม่ได้ยาก อย่างน้อยก็เรื่องกราฟิกและ FPS สิ่งที่เกมเก่าจะสู้เกมใหม่ได้ก็คงมีแต่ส่วนของระบบเกมกับเนื้อเรื่องเท่านั้น และยิ่งเกมใหม่ออกมา ก็จะมีเนื้อเรื่องที่ทับซ้อนกับเกมเก่าอยู่เสมอ เวลาเรากลับไปเล่นเกมเก่าอีกครั้งหนึ่งจึงรู้สึกเหมือนกับว่ามันไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะเรามีประสบการณืมากขึ้นและเติบโตขึ้นนั่นเองครับ
8. เล่นเกมแต่ติดโซเชียลตลอดเวลา
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าเป็นยุคแห่งโซเชียลมีเดียอย่างแท้จริง คุณอาจมีโซเชียลของตัวเองไม่ว่าจะเป็น Facebook, IG, Twitter หรืออื่น ๆ ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ๆ หรือทำงาน และถ้าคุณเป็นคนติดโซเชียล การเล่นเกมของคุณจะไม่ใช่แค่เล่นเกมเท่านั้น คุณจะไม่สามารถมูฟออนจากการเล่นโซเชียลได้เลย เช่น คุณอาจจะยอมกดหยุดเกมเพื่อมาตอบแชทเพื่อน หรือในระหว่างโหลดเกมคุณก็จะพับหน้าจอมาเพื่อเช็คเฟสบุ๊ค หรือบางคนมี 2-3 หน้าจอเพื่อให้อีกจอเป็นโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะเลย ถึงแม้ฉันจะเล่นเกม Offline อยู่ แต่ตัวฉัน Online ในโซเชียลมีเดียตลอดเวลานะ มันจะแตกต่างจากสมัยก่อนที่เล่นเกมคือเล่นเกมอย่างเดียวครับ ไม่ทำอย่างอื่นเลย
และนี่คือ “8 ความรู้สึกตอนเล่นเกมของคุณที่อาจจะเปลี่ยนไปจากสมัยก่อน” ตรงกับประสบการณ์หรือความรู้สึกของคุณในตอนนี้ไหมครับ ผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งนะครับที่มีโมเมนต์แบบที่กล่าวมาทุกข้อเลย ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปตัวเกมเมอร์อย่างเราก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน แม้บางอย่างจะเกิดขึ้นจากความคิดส่วนตัวก็ตาม แต่ถ้ามันทำให้เราเล่นเกมสนุกและมีความสุขขึ้น ก็โอเคนะครับ 😀