เพื่อนๆเคยเบื่อกับการเล่นเกมของตัวเองกันไหมครับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เวลามีเกมออกใหม่ก็จะตื่นเต้นฮือฮาไปกับชาวบ้านเขา แต่พอได้เล่นเกมใหม่ๆ ไปสักระยะหนึ่ง ก็จะรู้สึกว่ามันเริ่มไม่ใช่ ความตื่นเต้นก่อนได้เล่นเกมนั้นๆก็จะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็จะรู้สึกว่าทำไมมันน่าเบื่ออย่างนี้ ไม่เห็นเหมือนตอนที่เรารู้สึกแรกๆ เลย
จริงๆ มันมีเหตุผลอยู่ครับ ยิ่งเพื่อนๆ ที่เล่นเกมมาตั้งแต่เด็กหรือสมัยก่อนจะเข้าใจดีเลยครับ ว่าเมื่อก่อนเราไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้เลยสักนิด เราสามารถเล่นเกมเดิมซ้ำๆ ได้อย่างยาวนาน ถ้าเบื่อก็แค่เปิดเกมใหม่เล่นความเบื่อก็จะหายไป ซึ่งพอเราทำกับการเล่นเกมในสมัยนี้มันกลับไม่สามารถรู้สึกแบบนั้นได้อีกแล้ว จึงทำให้เรารู้สึกผูกพันกับเกมสมัยก่อนค่อนข้างมาก เพราะมันทำให้เราได้มีความทรงจำดีๆ มากมายเลยครับ
และสำหรับบทความนี้ขอนำเสนอ “เสน่ห์ 5 ข้อของเกมสมัยก่อนที่จะทำให้คุณรู้สึกว่ามันสนุกกว่าเกมสมัยนี้” จะมีอะไรกันบ้าง ตรงกับเพื่อนๆ คิดไว้ในใจหรือเปล่า ไปชมกันเลยครับ
1. เน้นให้คุณเล่นกับเพื่อน
ในช่วงแรกๆ ที่เกมยังไม่มีพัฒนาการมากนักและก่อนที่จะมีเกม PC ที่มีอินเตอร์เน็ตออนไลน์อย่างในปัจจุบันนั้น เกมเป็นสิ่งที่สร้างความบันเทิงเหมือนของเล่นอย่างหนึ่ง และมันถูกออกแบบมาให้เล่นกัน 2 คนเป็นหลัก จะสังเกตได้ว่าเครื่อมเกมสมัยก่อนนั้นจะมีจอยเกมแถมมาให้ 2 จอยตั้งแต่แกะกล่องเลย ในขณะที่ยุคปัจจุบันต้องซื้อจอยที่สองเพิ่มเอง และเกมในยุคเก่านั้นจะมีให้เลือก 1 Player หรือ 2 Player เพราะผู้พัฒนารู้ดีว่าการเล่นเกมเป็นกิจกรรมที่ต้องเล่นกับเพื่อนถึงจะสนุก จึงได้พัฒนาเกมมาให้สามารถเล่นได้ 2 คนเป็นหลัก ถึงแม้ว่าภายหลังจะมีเกม Single Player มากขึ้นจนเสน่ห์ของเกมที่เล่นได้ 2 คนลดหายไปบ้าง แต่เกมในยุคนั้นก็ยังดึงดูดให้ต้องชวนเพื่อนมาเล่นด้วยกันอยู่ดี
2. กราฟิกไม่สมจริง แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์หลักของเกมสมัยก่อนก็คือเรื่องของกราฟิกที่มันไม่สมจริงอะไรเลย มันไม่จำเป็นที่จะต้องมีเรื่องมาถกเถียงกันว่า สถานการณ์นี้ไม่สมจริง สัดส่วนของตัวละครไม่สวย หรือเอฟเฟคต่างๆ ภายในเกมมันอลังการ ประเด็นเรื่องกราฟิกถือว่าไม่มีอยู่เลยในการเล่นเกมสมัยก่อน ถึงแม้จะเป็นแค่ระบบ Pixel สี่เหลี่ยมๆจะไม่มีความสมจริงใดๆทั้งภาพและเสียง แต่ผู้เล่นก็ยังคงเล่นเกมพวกนี้ได้ด้วยความสนุก มันเป็นความคลาสสิคอย่างหนึ่งที่หาไม่ได้แล้วในยุคนี้ ขอแค่ภาพเก่าๆห่วยๆนั้นแสดงออกมาเป็นตัวตนให้เราได้เล่น ขอแค่มองออกว่าเป็นตัวอะไร บังคับยังไง แค่นั้นมันก็มากพอแล้วครับสำหรับการสร้างความสนุกสนาน
3. ระบบเกมเพลย์แปลกใหม่และมีมากมาย
ในยุคที่การพัฒนาเกมยังไม่มีรูปแบบตายตัวนั้น ผู้พัฒนาเกมต่างก็ออกแบบเกมของตัวเองออกมาเพื่อไม่ให้ซ้ำกับผู้พัฒนาคนอื่นๆ ต่างคนต่างควานหาสิ่งที่เหมาะสมกับเกมของตัวเอง โดยอิสระทางความคิดในยุคนั้นมันค่อนข้างที่จะกว้างขวางมากๆ มันไม่ใช่ในยุคปัจจุบันที่มีแนวเกมชัดเจน มีสถิติบ่งบอกว่าเกมแนวไหนมีฐานผู้เล่นเท่าไหร่ ต้องทำเกมยังไงคนถึงจะชอบ มันไม่ได้มีแค่ MMORPG, MOBA, FPS, Open World หรืออะไรทำนองนั้นอยู่เลยในยุคก่อนๆ ดังนั้น ผู้พัฒนาจึงทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และมันทำให้แนวเกมในช่วงเวลานั้นมีให้เลือกเล่นเยอะมาก ถ้าเบื่อเกมไหนก็แค่เปลี่ยนเกม แล้วเราก็จะรู้สึกว่าเล่นเกมใหม่แล้วไม่เบื่อเหมือนในยุคนี้ เพราะในยุคนี้ถ้าเราเบื่อแนวเกมที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันเราจะเปลี่ยนเกมไปเล่นอะไรล่ะ ในเมื่อเกมอื่นๆ ก็มีแนวคล้ายๆ กันหมด การเปลี่ยนเกมที่เล่นเลยแก้ไขปัญหาตรงนี้ไม่ได้นั่นเองครับ
4. เนื้อเรื่องคือสิ่งที่ทำให้คนติดเกมนั้นๆ
ไม่ว่าจะยุคนี้หรือยุคไหนๆ เนื้อเรื่องของเกมคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกสนใจและอยากติดตาม เนื้อเรื่องเหมือนกับเป็นหน้าฉากในการนำเสนอตัวเกม ว่าถ้าเนื้อเรื่องเป็นแบบนี้ เกมเพลย์ควรจะเป็นแบบไหน ออกแบบตัวละครยังไง ควรใส่เพลงประกอบสไตล์ไหน เนื้อเรื่องคือคอร์หลักของเกม ถ้าเนื้อเรื่องของเกมดีมันก็จะทำให้ผู้เล่นจดจำและติดตาม แถมยังเล่าขานต่อเนื่องไปอีกนาน และสำหรับเกมยุคก่อนที่ไม่มีเรื่องกราฟิกเข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก เนื้อเรื่องของเกมในยุคนั้นก็จะสุดไปในแนวทางของตัวเองแทบทุกเกม แม้แต่เกมยานอวกาศยิงเอเลี่ยนถ้าศึกษาดีๆ ก็ยังมีเนื้อเรื่องเลย หรืออย่างเกมที่เรารู้จักกันดีอย่างมาริโอ้หรือคอนทรานั้นก็มีเนื้อเรื่องแทบทั้งสิ้น ยิ่งเกมที่เป็นแนว RPG นั้นไม่ต้องพูดถึง ด้วยวิธีการเล่นในยุคนั้นทำให้ระบบเกมเพลย์กินทรัพยากรน้อย และได้อัดแน่นไปด้วยเนื้อเรื่องของตัวเกมล้วนๆ และถ้าเกมไหนที่มีเนื้อเรื่องดีมาตั้งแต่ยุคนั้น ก็จะมีพัฒนาการต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจนให้เราได้เห็นในปัจจุบัน
5. มีบางอย่างที่กระตุ้นให้เราอยากเล่นซ้ำ
เคยสังเกตตัวเองไหมครับว่า เกมในสมัยนี้ที่เราเล่นๆกันอยู่เนี่ย มันจะไม่ค่อยมีโมเมนต์อยากเล่นเกมเดิมซ้ำซักเท่าไหร่นักใช่ไหมล่ะครับ แต่กลับกันเจ้าเกมที่เราเล่นกันมาตั้งแต่สมัยเด็กเนี่ย เล่นแล้วเล่นอีกก็ยังไม่เบื่อ แถมพอเราโตมาหลายปีก็ยังย้อนกลับไปเล่นอีก อะไรจะทำให้เราอยากกลับไปเล่นหลายรอบขนาดนั้น ซึ่งเอาจริงๆ มันมีหลักการที่เชื่อมโยงมาจากข้อ 3 และข้อ 4 ที่กล่าวไปนั่นแหละครับ เพราะเกมสมัยก่อนนั้นมันมีแนวเกมที่ค่อนข้างแตกต่างจากปัจจุบัน เลยทำให้เราย้อนกลับไปเล่นแล้วรู้สึกว่ามันเป็นแนวเกมที่แตกต่างกับตอนนี้ อีกทั้งยังมีเนื้อเรื่องที่ชวนหลงใหลและคิดถึงนั้นจะทำให้เราอยากกลับไปเล่นอีกนั่นเองครับ นอกจากนี้ในเกมยุคก่อนๆ นั้นมี Easter Eggs มากมายให้เราเซอร์ไพรส์กันอยู่ตลอด มันเป็นยุคของการใส่ปริศนาและความลับลงไปในเกม ทำให้เกมมีความน่าค้นหา รวมถึงการที่ในยุคนั้นมีหนังสือบทสรุปและสูตรเกมมากมาย หลายครั้งการอ่านหนังสือเหล่านี้ก็ทำให้เราอยากกลับไปลองเช็คดูว่า ไอ้สิ่งที่มันอยู่ในหนังสือนั้นมันสามารถทำได้จริงไหมนั่นเองครับ
ก็ครบแล้วนะครับ กับ “5 เสน่ห์ชวนหลงใหลของเกมสมัยก่อนที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันสนุกกว่าเกมสมัยนี้” ไม่รู้ว่าจะตรงกับสิ่งที่เพื่อนๆ คิดไว้ในใจกันบ้างรึเปล่านะครับ แต่ผมก็เชื่อนะครับว่า เพื่อนๆ ทุกคนมีเกมในดวงใจ ที่เป็นอันดับหนึ่งในใจเรื่อยมา และไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย เกมๆนี้ก็ยังคงอันดับหนึ่งในใจเพื่อนๆได้ตลอด นั่นเป็นเสน่ห์ของเกมสมัยก่อนครับ จนในปัจจุบันได้มีการ Remaster เกมเก่าๆ ออกมาลงบนแพลตฟอร์มใหม่มากมาย เพื่อให้คนที่ชื่นชอบนั้นหวนกลับไปเล่นเกมที่ตัวเองชอบได้เหมือนอย่างในอดีตอีกด้วย เพราะเกมในปัจจุบันมันไม่สนุกเหมือนเกมสมัยก่อน การ Remaster ทำให้เกมเก่าดูใหม่ขึ้น จึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ผู้พัฒนามักจะใช้กัน และก็มีหลายเกมที่ Remaster ออกมาแล้วผู้เล่นให้ความสนใจ และซื้อมาเล่นซ้ำอยู่ตลอดครับ
ข่าวสารเกมอื่น ๆ : GamerCulture