ภาคนี้ผู้กำกับคนเดิมอย่างไทกา ไวทีที ฝีมือการกำกับและมุกจะมีทางของผู้กำกับอยู่เยอะพอสมควร ถ้าใครชอบมุกจากธอร์ภาคที่แล้วเชื่อว่าเซ้นทางมุกคุณจะเข้ากับผู้กำกับเป็นอย่างดี แต่ถ้าคุณไม่ชอบภาคที่แล้วก็อาจจะผิดหวังซ้ำสองได้
สิ่งที่น่าจับตาของธอร์ภาคนี้คือเส้นทางการไปต่อของตัวละครธอร์ที่รับบทโดยคริส เฮมสวอร์ธเพราะในทีมอเวนเจอร์รุ่นแรกมาเวลเหลือทีมยืนพื้นเพียงไม่กี่ตัวแล้วเท่านั้น ซึ่งบทสรุปในภาคนี้มาเวลก็ยืนยันแล้วว่าในเฟสต่อไปของมาเวลจะยังคงมีธอร์อยู่
สำหรับนาตาลี พอร์ตแมน ที่กลับมาสู่อ้อมอกของมาเวลอีกครั้งในบทของ “ไมตี้ธอร์” ที่มารับบทฮีโร่มือใหม่ก็มีอะไรให้เธอเล่นได้มากกว่าธอร์ 2 ภาคแรก แล้วจุดที่ทำให้เธอกลายมาเป็นไมตี้ธอร์นั้นเป็นการเล่าเพียงสั้นๆ เท่านั้น แต่เชื่อว่าแฟนๆ มาเวลต้องซื้อเหตุผลนี้แน่นอน
และอีกสิ่งที่หลายคนโดยเฉพาะแฟนมาเวลคอมมิกต่างออกมาบริ้วกันว่านี่เป็นตัวร้ายที่น่าสนใจมากด้วยความดราม่าของตัวละครในคอมมิก ไปถึงการปราบยากมากๆ แต่ในหนังค่อนข้างโดนเนิฟพลังไปเยอะมาก กับที่มาของตัวละครที่ปูค่อนข้างสั้นไปมากๆ จนรู้สึกเรายังไม่อินมากกับความสูญเสียของตัวกอร์ กับความโหดระดับเก็บเทพเจ้าอย่างโหดเหี้ยมก็เป็นการเล่าผ่านทีมกราเดี้ยนเฉยๆ เท่านั้น
คงต้องบอกว่าการฝีมือแสดงของคริสเตียน เบล ช่วยได้อย่างมากที่ทำให้คนดูให้เห็นความลึกของตัวละครในการเดินเรื่องที่ค่อนข้างไวในบทกอร์
อีกคนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้เพราะออกมาขโมยซีนสุดๆ คือ เทพซุส ที่รับบทโดย รัสเซล โครว์ ถ้าใครได้มีโอกาสดูพากย์ไทยที่พากย์โดย “น้าติงฮาร์ดคอร์” อีกเรียกว่าความบันเทิงเกินร้อยกว่า original soundtrack แน่นอน กับตอนท้ายที่มีการดึงความน่ารักของเด็กๆ จากเอสการ์ดมาใส่ในหนังจนทำให้เราคิดถึงคำว่า Asgard Assemble!! ขึ้นมาทันที
ก่อนจบรีวิวสำหรับคนยังไม่ได้ดู ธอร์ภาคนี้มี End credit 2 ตอนนะครับ
บทสรุป
แฟนมาเวลคงพลาดไม่ได้เช่นเคย - 8.5
8.5
คะแนน
ภาคนี้ผู้กำกับคนเดิมอย่างไทกา ไวทีที ฝีมือการกำกับและมุกจะมีทางของผู้กำกับอยู่เยอะพอสมควร ถ้าใครชอบมุกจากธอร์ภาคที่แล้วเชื่อว่าเซ้นทางมุกคุณจะเข้ากับผู้กำกับเป็นอย่างดี แต่ถ้าคุณไม่ชอบภาคที่แล้วก็อาจจะผิดหวังซ้ำสองได้