Shadow of the Erdtree เป็น DLC ของ Elden Ring ที่จะพาผู้เล่นเข้าไปผจญภัยในดินแดนเงาทมิฬ และติดตามเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ของ Miquella และเผชิญหน้ากับบอสสุดโหดมากมาย
โดยผู้เล่นสามารถเข้าเล่น DLC นี้ได้ต่อเมื่อสามารถล้มบอสอย่าง Radahn และ Mohg ได้ ซึ่งหลังจากล้ม Mohg ได้แล้วก็สามารถแตะที่มือของ Miquella ในรังไหมและเข้าสู่สมรภูมิดินแดนเงาทมิฬได้เลยและในบทความนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปเล่นตายซ้ำตายซากในดินแดนเงาทมิฬมาแล้ว และก็ไม่พลาดที่จะนำรีวิวมาให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
หมายเหตุ : การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 และถ้าหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยหลังจากที่รีวิวเผยแพร่ไปแล้วก็เป็นได้ครับ
รีวิว Elden Ring Shadow of the Erdtree
- ดีไซน์พื้นที่ในดินแดนเงาทมิฬที่มีเอกลักษณ์ไม่แพ้ดินแดนมัชฌิมา
- ความยากที่ท้าทาย หากใครไม่เตรียมพร้อมให้ดีบอกเลย “เละ!”
- การอัปเกรด และอาวุธประเภทใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาทำให้คุณค่าของเกมสูงขึ้นอย่างมาก
- สรุปรีวิว Elden Ring Shadow of the Erdtree
- ภาพสกรีนช็อตเพิ่มเติม
ดีไซน์พื้นที่ในดินแดนเงาทมิฬที่มีเอกลักษณ์ไม่แพ้ดินแดนมัชฌิมา
สิ่งแรกที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้ก็คือ การดีไซน์พื้นที่ของดินแดนเงาทมิฬภายใน DLC นี้ที่ผู้เขียนบอกได้เลยว่าทำออกมาได้น่าประทับใจมาก ๆ ซึ่งผู้เขียนต้องขอเท้าความก่อนว่าในเกมเวอร์ชั่นหลักที่เราจะได้ท่องเที่ยวในดินแดนมัชฌิมานั้นจะมีพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ โดยแต่ละพื้นที่ก็จะมีลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลิมเกรฟที่มีพื้นที่เป็นทุ่งหญ้าและป่าเป็นหลัก นครหลวงเรนเดลที่มีความสวยงามสมกับเป็นเมืองใหญ่
ในส่วนของ DLC Shadow of the Erdtree นั้นตอนแรกผู้เขียนก็แอบกังวลว่าพื้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก จะทำออกมาได้มีเอกลักษณ์แค่ไหน ซึ่งพอผู้เขียนได้ออกผจญภัยจริง ๆ ก็ชาบูผู้พัฒนาเลย เพราะถึงแม้ว่าดินแดนเงาทมิฬนี้จะมีพื้นที่ขนาดประมาณเดียวกันกับลิมเกรฟ แต่แน่นอนว่าตลอดการสำรวจพื้นที่นี้ผู้เขียนได้พบกับตรอกซอกซอยรวมไปถึงดันเจี้ยนที่ถูกแอบซ่อนไว้จำนวนมาก โดยแต่ละพื้นที่ย่อยเหล่านี้ก็จะมีการดีไซน์ที่โดดเด่นพื้นที่โดดเด่นแตกต่างกันไปค่อนข้างชัดเจน ซึ่งผู้เขียนมั่นใจว่าเหล่าผู้มัวหมองที่จะเข้ามาผจญภัยในดินแดนเงาทมิฬนี้จะต้องหลงรักและอยากค้นหาทุกซอกทุกมุมอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ใน DLC นี้ยังมาพร้อมกับกิมมิกที่คุ้นตา ถูกนำมาใช้งานภายในพื้นที่ใหม่ด้วย โดยสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนแอบเซอร์ไพรส์และรู้สึกประทับใจอยู่พอสมควรก็คือ การที่ DLC นี้มีการต้อนรับผู้เล่นเข้าสู่พื้นที่ใหม่ด้วย! ซึ่งหากผู้เล่นยังคงจำช่วงเวลาที่เข้ามาในดินแดนมัชฌิมาครั้งแรกได้ ผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่าผู้เล่นหลายคนจะต้องโดนผู้พิทักษ์พฤกษารับน้องจนนั่งเหวออย่างแน่นอน (แน่นอนว่าผู้เขียนคือหนึ่งในนั้น ฮา…) ซึ่งในดินแดนเงาทมิฬแห่งนี้ก็มีมอนสเตอร์ที่รอรับน้องเราอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือเจ้ายักษ์โคมไฟที่บอกได้เลยว่าหากใครคิดว่าการรับน้องตอนแรกของเกมนั้นโหดร้ายแล้ว การรับน้องใน DLC นี้โคตรโหดยิ่งกว่า
ถึงแม้ว่าจะเป็นการรับน้องที่ค่อนข้างโหดร้ายก็ตาม แต่ผู้เขียนเชื่อว่านี่จะกลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่จะถูกผู้เล่นหยิบยกมาพูดถึงกันไปอีกนานแสนนาน เหมือนกับในตอนนี้ที่มีผู้เล่นหลาย ๆ คนแอบแกล้งน้องใหม่ด้วยการแนะนำว่าให้เข้าไปบวกกับผู้พิทักษ์พฤกษาตั้งแต่ตอนแรกที่เข้าไปผจญภัยในดินแดนแห่งมัชฌิมานั่นเอง
ความยากที่ท้าทาย หากใครไม่เตรียมพร้อมให้ดีบอกเลย “เละ!”
ความยากของการผจญภัยในดินแดนเงาทมิฬนี้การันตีได้เลยว่าผู้เล่นหลายคนจะต้องปาจอยเป็นสิบ ๆ ครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งผู้เขียนก็เข้าใจได้ถึงระดับความยากที่ค่อนข้างหนักเอาการสำหรับผู้เล่นหลายหลายคน โดยผู้เขียนต้องขอเท้าความ (อีกครั้ง) ว่าก่อนที่เราจะเข้ามาในดินแดนเงาทมิฬได้นั้น ผู้เล่นจะต้องทำการปราบบอสสุดโหด 2 ตัวอย่าง Radahn และ Mohg เสียก่อน ซึ่งบอสทั้ง 2 ตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องความยากในการเข้ากำจัดพวกมันอยู่แล้ว (โดยเฉพาะ Mohg ที่ผู้เขียนตายเป็น 100 รอบจริง ๆ) ซึ่งในจุดนี้ผู้เขียนมองว่าการที่ผู้เล่นจะต้องกำจัดบอสทั้ง 2 ตัวนี้ เปรียบเสมือนการบอกให้ผู้เล่น “เตรียมตัว และเตรียมใจ” ไว้ให้ดี ว่าผู้เล่นมีความพร้อมในการเข้าสู่ดินแดนเงาทมิฬนี้หรือไม่ เพราะเมื่อผู้เล่นได้เข้าไปในดินแดนแห่งนี้แล้ว บอกได้เลยว่าแค่มอนสเตอร์ตัวเล็ก ๆ ก็อาจจะฟาดเราตายได้ภายในไม่กี่ทีเช่นกัน
และในโอกาสนี้ผู้เขียนอยากจะขอแนะนำผู้เล่นที่ทำการสปีดรันเพื่อที่จะเข้ามาผจญภัยภายในดินแดนเงาทมิฬนี้ว่า… เมื่อเข้ามาแล้วขอให้ระวังตัวให้มากที่สุด ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนทำการสปีดรันเข้ามาด้วยบัญชีใหม่ ตอนที่ผู้เขียนสามารถล้ม Mohg ได้ตอนเลเวล 98 ทำให้ผู้เขียนค่อนข้างมีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าจะสามารถผจญภัยในดินแดนเงาทมิฬนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ผลปรากฏว่าเข้ามาได้ไม่นานนักก็ต้องรีบถอยกลับไปทำการฟาร์มและอัปเลเวลของตัวเองทันทีทันใด
เพราะหลังจากที่ผู้เขียนเข้ามาในดินแดนนี้ สิ่งที่ผู้เขียนพบเจอก็คือการตายซ้ำตายซากตายแล้วตายอีกจากการเจอกับมอนสเตอร์ตัวเล็ก ๆ รวมไปถึงบอสต่าง ๆ ซึ่งผู้เขียนได้กลับมาอีกครั้งตอนเลเวลประมาณ 150 พร้อมกับอาวุธและธุลีวิญญาณที่มีการตีบวกในระดับสูงพอสมควร ก็พบว่าการผจญภัยในดินแดนแห่งนี้สนุกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตัวละครของเราแข็งแกร่งมากพอที่จะไปฟัดกับมอนสเตอร์รวมถึงบอสที่มีอยู่ในดินแดนนี้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อมากขึ้น ฉะนั้นผู้เขียนมองว่าหากจะเข้ามาผจญภัยใน DLC ผู้เล่นควรมีตัวละครเลเวลประมาณ 150 ขึ้นไปเสียก่อนจะดีที่สุด (ยกเว้นผู้ที่เชี่ยวชาญสุด ๆ อันนั้นขอเป็นข้อยกเว้นครับ ฮา…)
นอกจากนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปตบบอสอยู่หลายตัว ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าแมคคานิกการโจมตีของบอสเหล่านี้มีความแปลกใหม่ในระดับหนึ่ง ทำให้ผู้เขียนรู้สึกชอบกับความท้าทายใหม่ ๆ นี้ และแน่นอนว่าลูปเดิมก็กลับมาอีกครั้ง นั่นก็คือการเข้าไปบวกกับบอส จากนั้นก็ตาย แล้วเราก็ได้เรียนรู้รูปแบบการโจมตี ทำวนไปวนมาจนสามารถล้มบอสได้ ซึ่งเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก ๆ
โดยตัวอย่างที่ผู้เขียนจะขออนุญาตยกตัวอย่าง จะไม่ใช่บอสใหญ่แต่จะเป็นบอสดันเจี้ยนที่คิดว่าคงไม่สปอยล์หนักจนเกินไป ก็คือเจ้า อนซ์ ยอดนักดาบอมนุษย์ที่อยู่ในดันเจี้ยนที่เต็มไปด้วยไห โดยเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้โดดเด่นที่รูปแบบการโจมตีที่เป็นการวาร์ปเข้ามาฟันหัวผู้เล่นตั้งแต่หน้าประตูเลยทีเดียว (ซึ่งหากตัวละครผู้เล่นมี HP ที่น้อยก็อาจจะตายได้ภายในดาบเดียว) นอกจากนี้เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ยังมีการปลดปล่อยพลังของดาบที่ค่อนข้างสวยงามแต่รุนแรง และมีกระบวนท่าดาบที่ต่อเนื่องและรวดเร็วจนแอบจับทางยากในระดับหนึ่ง ซึ่งมอนสเตอร์ตัวนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในบอสที่ผู้เขียนยกตัวอย่างได้เพราะกลัวจะสปอยล์มากจนเกินไป แต่ผู้เขียนการันตีเลยว่าบอสตัวอื่นภายในเกมนี้ก็ตึงมือและท้าทายผู้เล่นอย่างแน่นอน
การอัปเกรด และอาวุธประเภทใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาทำให้คุณค่าของเกมสูงขึ้นอย่างมาก
ภายใน DLC นี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การอัปเกรดตัวละครใหม่ให้ผู้เล่นได้ใช้งานด้วย นั่นก็คือ “ความคุ้มครองแห่งพฤกษาเงา” ซึ่งเปรียบเสมือนกับระบบที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวละครผ่านโบนัสพิเศษที่ผู้เล่นจะต้องไปเก็บสะสมชิ้นส่วนเพื่อนำมาอัปเกรดตัวละคร (คล้าย ๆ กับการหาเมล็ดสีทองมาอัปเกรดขวดยาในดินแดนมัชฌิมา) โดยการอัปเกรดนี้จะทำให้ผู้เล่นโจมตีได้แรงขึ้นและได้รับดาเมจน้อยลง ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบการอัปเกรดที่ค่อนข้างพิเศษและน่าสนใจอย่างมาก เพราะผู้เขียนเชื่อว่าในตอนนี้มีผู้เล่นหลายคนที่อาจจะอัปตัวละครจนเลเวลแม็กซ์ไปแล้ว การที่มีระบบนี้เข้ามาก็จะทำให้ตัวละครของผู้เล่นนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นโดยไม่สนเลเวลที่เต็มไปแล้ว รวมไปถึงผู้เล่นคนใดที่ยังอัปเลเวลได้ไม่เต็ม ฟีเจอร์นี้ก็จะทำให้ผู้เล่นแข็งแกร่งขึ้นได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดที่เรียกว่า “ความคุ้มครองแห่งธุลีวิญญาณ” ซึ่งจะมีรูปแบบคล้ายกับความคุ้มครองแห่งพฤกษาเงา แตกต่างกันตรงที่เอฟเฟกต์ของการอัปเกรดนี้จะส่งผลกับธุลีวิญญาณของผู้เล่นเท่านั้น นั่นแปลว่าธุลีวิญญาณของผู้เล่นที่ถึงแม้ว่าจะถูกตีบวกมาจนสุดแล้ว ก็ยังสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อีก ทำให้ผู้เขียนรู้สึกชอบมาก ๆ เพราะจะทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวละครของพวกเขานั้นยังสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อีกแม้ว่าจะมีการอัปเกรดมาจนเต็มแล้วก็ตาม ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่าฟีเจอร์นี้จะทำให้ผู้เล่นหลายหลายคนสนุกไปกับการอัปเกรดตัวละครอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ DLC นี้ได้มีการเพิ่มอาวุธและชุดเกราะมาให้เราได้ใช้งานกันอีกจำนวนมาก ซึ่งผู้เขียนมั่นใจว่าสายแฟชั่นจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน โดยจุดที่ผู้เขียนอยากพูดถึงเป็นพิเศษก็คืออาวุธประเภทใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามามากถึง 8 ประเภทด้วยกันซึ่งผู้เขียนรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก ๆ เพราะปกติแล้วเราจะได้เห็นการเพิ่มอาวุธใหม่ ๆ แต่ไม่ได้มีการเพิ่มประเภท หรือถ้าบางครั้งมีการเพิ่มประเภทใหม่เข้ามาก็จะมีแค่ 1-2 ประเภท แต่เกม Elden Ring Shadow of the Erdtree มีการเพิ่มมาแบบจัดเต็มเลยทีเดียว ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้ทดลองใช้อาวุธในบางประเภทแล้วก็รู้สึกว่า “น่าเล่นมาก ๆ” ด้วยท่วงท่าการโจมตีที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงคุณสมบัติพิเศษบางอย่างที่แฝงอยู่ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่า “ต่อให้ผู้เขียนมีอาวุธที่เพียบพร้อมที่จะจบ DLC นี้ได้ ผู้เขียนก็อยากใช้อาวุธที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาภายใน DLC นี้ในการจบเนื้อเรื่องพิเศษนี้ให้ได้” (แต่จะทำได้ไหมก็ต้องมาลุ้นกันนะครับ ฮา…) โดยการที่ผู้พัฒนาเพิ่มอาวุธประเภทใหม่เข้ามาภายในเกมก็ยิ่งเพิ่มคุณค่าให้กับเกมนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจุดที่หนีไม่พ้นเลยก็คือการเพิ่มคุณค่าในการเล่นซ้ำที่ผู้เล่นจะได้มีโอกาสใช้อาวุธที่แตกต่างกันออกไปผจญภัยในดินแดนเงาทมิฬรวมไปถึงดินแดนแห่งมัชฌิมาด้วยนั่นเอง
สรุปรีวิว Elden Ring Shadow of the Erdtree
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ผู้เขียนการันตีได้เลยว่า Elden Ring Shadow of the Erdtree เป็นหนึ่งใน DLC ที่ดีจนพูดได้ว่าเป็นหนึ่งใน DLC ที่สมบูรณ์แบบที่สุดอันหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยนอกเหนือจากระบบใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามา รวมไปถึงเนื้อหาที่เข้มข้นที่มาเติมเต็มเรื่องราวของวงแหวนแห่งเอลเดนให้เราได้เข้าใจได้อย่างชัดเจนด้วยภาษาไทยที่แปลออกมาได้ดีสุด ๆ การสำรวจโลกนี้ให้ครบถ้วนอาจจะใช้เวลามากจนผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะมีผู้เล่นใช้เวลาเข้ามาเดินเล่นหาความลับถึง 100 ชั่วโมงแน่ ๆ ซึ่งผู้เขียนบอกได้เลยว่าผู้อ่านคนใดที่ยังไม่ได้ซื้อ DLC นี้มาเล่นต้องรีบซื้อเลยครับ รับรองว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปและคุ้มค่ากับเวลาที่รอมาตลอด 2 ปีอย่างแน่นอน
ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 10 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ
จุดเด่น
- การแปลภาษาไทยที่ยังคงความสุดยอดไว้ได้เช่นเคย
- กราฟิกสวยงามตระการตาสมกับที่คาดหวังไว้
- ดีไซน์โลกที่สวยงามมีเอกลักษณ์สุด ๆ
- ความยากที่ยากกว่าเดิม ท้าทายผู้เล่นสายฮาร์คอร์แน่นอน
- ระบบการอัปเกรด และอาวุธประเภทใหม่ที่มีให้ใช้งาน
- ศัตรูที่ถูกออกแบบมาได้น่าสนใจ
- มี Easter Eggs จากเกม Souls ให้ได้กรี๊ดกันด้วย
จุดสังเกต
- ระดับความยากของเกมค่อนข้างสูง ถ้าฝีมือไม่ถึงจริง ๆ โอกาสจะเล่นให้รอดยากมาก
สำหรับ Elden Ring Shadow of the Erdtree จะวางจำหน่ายในวันที่ 21 มิถุนายนนี้พร้อมกันทั้งบน PlayStation 5, Xbox Series X|S และ PC รวมไปถึงอุปกรณ์ PlayStation 4 – Xbox One พร้อมรองรับภาษาไทยเช่นเคย ปัจจุบันเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าเพื่อรับสิทธิ์ใช้ท่าอีโมตพิเศษ ‘แหวนของมิเคล่า’ ด้วยนะครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment ที่เอื้อเฟื้อและสนับสนุนเกมมาให้เราได้รีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…
ใครที่สนใจก็สามารถสั่งซื้อเกมได้ที่ : [คลิก]