[รีวิว] Call of Duty: Vanguard : พา 4 ทหารหาญตะลุยสงครามโลกครั้งที่ 2
Call of Duty: Vanguard
เกม FPS จากเกมซีรีส์ดัง ที่จะนำเสนอเรื่องราวที่ต่างไปจากเดิม
Call of Duty: Vanguard เป็นเกมแนว FPS จากซีรีส์ยอดนิยมที่ตีแผ่เรื่องราวในสงครามโลกครั้งที่สองผ่านสายตาของนักรบจากหลายสัญชาติ โดยเกมดังกล่าวพัฒนาโดยสตูดิโอ Sledgehammer Games ซึงเกมนี้ก็จะพาผู้เล่นมาสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้การเล่าเรื่องราวได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
และในโอกาสนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสกับเกม Call of Duty: Vanguard เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้เขียนเองก็ประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียวกับเกมนี้ รายละเอียดจะเป็นอย่างไร มาติดตามได้ที่ข้างล่างนี้เลยครับ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 ครับ
ออกรบในสนามรบที่มาพร้อมกราฟิกพื้นฐาน แต่ถูกทำให้โดดเด่นด้วยรายละเอียดขั้นสุดยอด
สิ่งแรกที่ผู้เขียนคงต้องขออนุญาตพูดถึงก่อนเลยในการรีวิวเกม Call of Duty: Vanguard ก็คือกราฟิกภายในเกมนี้ที่ค่อนข้างสร้างความประทับใจได้อย่างน่าประหลาด สาเหตุก็เพราะว่ากราฟิกโดยทั่วไปแล้วค่อนข้างที่จะดูไม่ได้โดดเด่นไปกว่าเกมยุคใหม่เท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งในเรื่องของโมเดล พื้นผิวของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่สิ่งที่ค่อนข้างทำให้ผู้เขียนประหลาดใจเป็นอย่างมากก็คือองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ทำให้ภาพภายในเกมนี้สวยงามน่าประทับใจ
องค์ประกอบที่ผู้เขียนพูดถึงก็เป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาจนทำให้ภาพภายในเกมสวยงาม และมีความละเอียดสูง ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ก็มีอยู่จำนวนมาก เช่น แสงเงาต่าง ๆ ภายในเกมนี้ไม่ว่าจะเป็นแสงอาทิตย์, แสงไฟจากจุดต่าง ๆ รวมไปถึงแสงที่ลอดเข้ามาตามอาคารที่ถูกทำออกมาได้สวยงาม นอกเหนือจากแสงเงาแล้ว องค์ประกอบที่เรียกว่าละเอียดสุด ๆ อย่างเช่นองค์ประกอบประเภทประเภทฝุ่นในอาคารเก่า, ละอองฝนในวันที่ฝนตก หรือพายุเข้า รวมไปถึงควันจากปลายกระบอกปืน ก็ยกระดับให้กราฟิกภายในเกมนี้โดดเด่นไปจากเกมอื่น ๆ อยู่พอสมควร
นอกจากนี้กราฟิกของคัทซีนภายในเกมนี้ก็ยังถูกทำออกมาได้สวยงามสมจริงเป็นอย่างมาก จนเรียกได้ว่ามีความละเอียดราวกับกำลังดูภาพยนตร์อนิเมชั่นระดับสูงเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยก็คือเฟรมเรตที่ค่อนข้างดรอปกว่าฉากการเล่นเกมปกติ ทั้ง ๆ ที่เล่นอยู่บน PS5 แล้วก็ตาม ซึ่งหากผู้พัฒนาเกมมีแพทช์แก้ไขขปัญหานี้ออกมา จะทำให้กราฟิกในเกมนี้ดีสุดยอดเลยทีเดียว
เนื้อหาสุดเข้มข้น ที่ไม่ใช่แค่ “การทำลาย” แต่มันคือการ “ชิงไหวชิงพริบ” ของทุกฝั่ง
ภายในเกม Call of Duty: Vanguard นั้นจะเป็นการดำเนินเรื่องราวใหม่ทั้งหมด โดยมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารที่ร่วมต่อสู้ในสงครามหลากหลายกลุ่มมากยิ่งขึ้น เช่น Polina Petrova จากกองทัพรัสเซียในแนวรบฝั่งตะวันออก, มี Wade Jackson อยู่ที่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก, มี Lucas Riggs ซึ่งเป็นนักรบชาวออสเตรเลียอยู่ในแอฟริกาเหนือ และก็มี Arthur Kingsley พลร่มชาวอังกฤษ
ซึ่งเรื่องราวของเกมนี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่นำพาตัวละครทั้งสี่คนนี้ให้มาต่อสู้ร่วมกันเป็นทีม โดยภารกิจแรกสุดของพวกเขาคือการเดินทางไปยังกรุงเบอร์ลินด้วยกันในช่วงปลายสงคราม ดังนั้นตัวละครทั้งสี่จะอยู่ในเรื่องราวเดียวกันที่ต่อเนื่อง แต่เราจะมีโอกาสได้เล่นเกมผ่านมุมมองของตัวละครแต่ละคน และสามารถรับรู้มุมมองของพวกเขาในสงครามเพื่อซึมซับความรู้สึกให้อินมากขึ้น
โดยสิ่งที่สอดแทรกอยู่ในตลอดเนื้อเรื่องก็คือการชิงไหวชิงพริบของตัวละครจากทั้งสองฝั่ง ซึ่งในบทสนทนาต่าง ๆ เราจะได้เห็นสิ่งที่ตัวละครกำลังคิด เบื้องลึกเบื้องหลังของฝั่งนาซี รวมไปถึงและแผนการต่าง ๆ ที่แอบซ่อนไว้ทุกการกระทำ ซึ่งในส่วนของเนื้อเรื่องนี้ผู้เขียนยอมรับเลยว่าพล็อตเรื่องทำออกมาได้ดีพอสมควร ซึ่งหากผู้อ่านคนใดที่ชื่นชอบการดูหนังสงครามที่ต้องใช้ความคิดนอกเหนือจากการระเบิดภูเขาเผากระท่อม บอกได้เลยว่า Call of Duty: Vanguard ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน (ในบทความรีวิวนี้ผู้เขียนขออนุญาตไม่ลงในรายละเอียดในส่วนของเนื้อเรื่องมากเกินไปเพราะจะเป็นการสปอยล์เนื้อหาครับ)
แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะเป็นอุปสรรคพอสมควรก็คือภาษาอังกฤษที่ใช้ภายในเกมนี้ค่อนข้างเป็นคำศัพท์ที่ยากพอสมควร ซึ่งยังมีข้อดีอยู่เล็กน้อยที่ผู้เล่นสามารถกดพอสแล้วเปิด Dictionary หาคำศัพท์ที่ไม่รู้จักได้ครับ
เมื่อสงครามไม่ใช่แค่การถือปืนไล่ยิงศัตรู แต่มันคือการใช้พลังกาย และพลังสมองในการเอาชนะศึก
องค์ประกอบต่อมาที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจจนไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือเกมเพลย์ภายในเกม Call of Duty: Vanguard ที่มีความหลากหลายมากกว่าเกม FPS โดยทั่วไป โดยตลอดการเล่นเกมส์นี้ผู้เล่นจะต้องใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์คับขันต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้เล่นจะต้องเลือกตัดสินใจหรือกระทำการให้ถูกต้อง มิเช่นนั้นอาจจะถึงชีวิตได้ง่าย ๆ
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้เล่นจะได้พบเจอ เช่น การที่ผู้เล่นกระโดดร่มลงมาผิดไปจากจุดนัดพบ และพบว่าตัวเองอยู่ในป่ามืดมิดที่รายล้อมไปด้วยศัตรู ผู้เล่นจะต้องค่อย ๆ ย่อง หามุมหลบ ฝ่ากองกำลังศัตรูไปให้ได้อย่างเงียบเชียบ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้มีคำใบ้ใด ๆ บอกในการเล่นเกมเลยแม้แต่น้อย ผู้เล่นจะใช้วิธีการไล่ยิงศัตรูทที่ขวาางหน้าเลยก็ได้ แต่สิ่งนั้นเองก็จะทำให้ผู้เล่นเอาชีวิตรอดยากขึ้น เพราะ AI ภายในเกมนี้ขนาดผู้เขียนปรับเป็นโหมดที่ง่ายที่สุด ผู้เขียนยังตายแล้วตายอีกเลยครับ
หรือแม้กระทั่งการที่ผู้เล่นจะต้องบุกเข้าไปในบังเกอร์ ซึ่งประตูบังเกอร์ก็เต็มไปด้วยปืนกลหนักที่รอสังหารกองทัพผู้เล่นอยู่ สิ่งที่ผู้เล่นควรทำไม่ใช่การวิ่งเข้าไปแลกกับปืนกลหนัก รวมไปถึงผู้เล่นก็ไม่สามารถปาระเบิดมือเข้าไปได้ด้วย ซึ่งสิ่งที่ผู้เล่นต้องทำก็คือใช้ระเบิดควันเพื่อบดบังทัศนวิสัย จากนั้นนั่งรอเฉย ๆ เพื่อให้ตัวละครภายในทีมของผู้เล่น เข้าโจมตีระยะประชิดโดยที่ผู้เล่นไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในการเล่นเกม FPS เลยทีเดียวครับ
4 ตัวละคร 4 เรื่องราว 4 แนวคิด 4 ความสามารถ 1 เป้าหมาย
จุดเด่นที่สุดของเกมนี้ก็คงหนีไม่พ้นการดำเนินเรื่องราวผ่าน 4 ตัวละครที่มีความแตกต่างกันในทุกด้านทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นประวัติภูมิหลังของแต่ละตัวละครที่น่าติดตามเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น สาเหตุที่ทำให้ Polina จากพยาบาลทหารหันมาจับปืนไรเฟิลกลายเป็นหน่วยซุ่มยิงแทน นอกจากนี้ตัวละครแต่ละตัวก็ยังมีแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปในการสู้รบ รวมไปถึงบุคลิกของทั้ง 4 คนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ตัวละครแต่ละตัวก็ยังมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจุดนี้เองผู้เขียนประทับใจเป็นอย่างมากเพราะทำให้เกมนี้เป็นมากกว่าเกมยิงปืนโดยทั่วไป ตัวอย่างเช่น Kingsley ที่เป็นหัวหน้าหน่วยมีความสามารถในการนำกองทัพโดยเขาสามารถสั่งการให้หน่วยนั้นบุกโจมตีในเป้าหมายที่ต้องการได้ เช่น เลือกโจมตีป้อมปืนก่อน หรือเต๊นท์เสบียงก็ได้ นอกจากจากนี้เขายังสามารถเพิ่มกำลังใจให้ลูกทีมในหน่วยได้ด้วย ผู้เล่นจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปตามตัวละครที่เล่น ซึ่งจุดนี้เองทำให้เกม Call of Duty: Vanguard นั้นโดดเด่น และแตกต่างไปจากเกม FPS อื่น ๆ ที่มีอยู่พอสมควร
โหมด Multiplayer และ Zombies ที่ทำให้เกมนี้กลับมาเล่นซ้ำได้เรื่อย ๆ
นอกเหนือจากโหมด Campaign แล้วภายในเกมนี้ยังมีโหมดให้ผู้เล่นได้เล่นอีก 2 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Multiplayer และ Zombies ซึ่ง 2 โหมดนีถือว่าเป็นโหมดสำคัญของเกมนี้ที่ทำให้ผู้เล่นย้อนกลับมาเล่นได้แบบไม่มีเบื่อครับ
โดยในโหมด Multiplayer จะบางออกเป็นโหมดย่อย ๆ อีกมากมาย เช่น Champion Hill ที่ผู้เล่นจะได้จับทีมกับผู้เล่นคนอื่น เข้าต่อสู้กับทีมศัตรูแบบ 2v2 หรือ 3v3, Team Deathmatch, Domination, Patrol และ Kill Confirmed ซึ่งโหมดทั้งหมดนี้ก็เพียงพอที่จะให้ผู้เล่นกันมันส์กันไปยาว
นอกจากนี้ภายในเกม Call of Duty: Vanguard ยังมีโหมด Zombies ที่รองรับให้ผู้เล่นได้มันส์กับผู้เล่นทั่วโลก เมื่อผู้เล่นเข้ามาภายในโหมดนี้ ผู้เล่นจะเข้ามาที่จัสตุรัสใน Stalingrad สุดหลอน จากนั้นจะมีประตูมิติปรากฏขึ้นมาซึ่งก็จะเป็นโหมดย่อย ๆ ให้เลือกเล่นอีกจำนวนหนึ่ง เช่น Blitz, Transmit และ Harvest ซึ่งแต่ละโหมดย่อยนี้ก็จะมีเป้าหมายในการเล่นที่แตกต่างกันออกไป
ภาพ Screenshots เพิ่มเติม
บทสรุป
รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น ในตัวเกมCall of Duty: Vanguard ถือได้ว่าภาพรวมทำออกมาได้ดีเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว กราฟฟิคภายในเกมและโหมดการเล่นที่มีหลากหลาย - 9
9
คะแนน
โหมด Zombies แอบน่าเบื่ออยู่พอสมควร ซึ่งในโหมดนี้ผู้เล่นหลายๆคนที่ได้สัมผัสมาก็บ่นเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร