ปัจจุบันนี้ กระแสซูเปอร์ฮีโร่ได้กลับคืนมาสู่ตลาดบันเทิงกระแสหลักกันอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Marvel ที่หลังจากผ่านมรสุมยุค 90 มา นับจากนั้นไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็กลายเป็นความปังปุริเย่ไปเสียหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาพยนตร์จักรวาล MCU ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมี Guardians of the Galaxy ที่เพิ่งหยิบยกกลับมาบอกเล่าใหม่ผ่านหนุ่ม Chris Pratt จนหลายคนหลงรักความขี้เล่น (และมีบางส่วนที่ด่ากับการกระทำในภาพยนตร์เรื่องอื่น) ทั้งนี้ทั้งนั้น ซีรีส์ดังกล่าวก็กลายเป็นลูกทีมแถวหน้าของ Marvel ไปเรียบร้อยจากการได้รับการสนับสนุนและปรากฏตัวหรือมีส่วนร่วมในสื่อบ่อยขึ้นไม่แพ้คนอื่น
Marvel’s Guardians of the Galaxy
เป็นอีกครั้งที่ซีรีส์ได้รับไฟเขียวในการพัฒนาเกมโดย Square Enix หากแต่เปลี่ยนจากเกมรับภารกิจมาเป็นแอคชั่นผจญภัยเน้นเนื้อเรื่องแทน และเสน่ห์ของเรื่องไม่ว่าจะเป็นความฮา ดนตรีร็อคยุคคร่ำครึ ก็ถูกส่งมอบมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ฟังดูเป็นประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ทว่าในฐานะเกมเดี่ยวเต็มตัวของซีรีส์นี้จะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขอเชิญติดตามกันในรีวิวนี้ได้เลยครับ
【จักรวาลกว้างใหญ่ในมือเรา】
การนำเสนอโลกของ Marvel’s Guardians of the Galaxy ดำเนินไปเหมือนกับเกมซูเปอร์ฮีโร่ยุคใหม่ของ Marvel ที่ไม่ต้องอาศัยความรู้ถึงขั้นเจาะลึกมาก่อน เพียงแค่เรารู้จักตัวละครก็อินกันได้ง่ายๆ เพราะว่าเป็นการเริ่มต้นเนื้อหาที่แยกไปจากจักรวาลหลักโดยสิ้นเชิง ดังนั้นมือใหม่ก็สามารถสนุกกันได้แบบสบายๆ ส่วนแฟนเก่าของเดิมก็ไม่ต้องกังวลเพราะจะมีเรฟเฟอเรนซ์ไปยังเหตุการณ์นอกเกมสอดแทรกมาอยู่เนืองๆ จึงไม่น่าห่วงมากเท่าไหร่ว่าจะทำให้ความผูกพันระหว่างผู้อ่านกับตัวละครเหล่านี้จะห่างเหินไป เพียงแต่มือใหม่จะได้เปรียบกว่าเพราะว่าเนื้อหานี้เราสังเกตได้ว่ามันเป็นช่วงที่เริ่มก่อตั้งแก๊งการ์เดี้ยนกันเลย
เกมนี้เราจะได้รับบทเป็น Star-Lord ล้วนๆ และมีการบอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของเขาตลอด ความน่าสนใจก็คือเมื่อเป็นเนื้อหาที่อยู่ในตอนเริ่มก่อตั้งแก๊ง แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งหมดอาจจะไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก ยกตัวอย่างเช่น Drax กับ Gamora ที่แซะกันไปแซะกันมาตลอดเวลา (และดู Gamora เองก็ไม่ได้ยี่หระกับคำพูดพี่ยักษ์เท่าไหร่) แต่ด้วยคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนก็จะทำให้เรารู้จักคุณลักษณะของพวกเขากันได้ในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมเอาใจช่วยในการเดินทางสุดป่วงครั้งนี้
อย่างไรก็ตามพอพูดถึงเกม Marvel โดย Square Enix แล้วหลายคนคงรู้สึกว่ามันจะต้องคล้ายกับ Avengers ในปีที่ผ่านมาแน่ๆ แต่รอบนี้เองขอบอกไว้ก่อนว่าเป็นเกมคนละแนวโดยสิ้นเชิง หากเปรียบเทียบแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือน Uncharted ที่ครอบด้วยธีมของ Guardians of the Galaxy โดยเนื้อเรื่องจะถูกแบ่งออกไปเป็นตอนๆ และมีความเป็นเส้นตรงแหน่วอยู่ไม่น้อย ผู้เล่นจะได้เริ่มบทใหม่หลังจบคัทซีนใหญ่ๆ ไม่ได้มีการอาศัยฟาร์มของทำภารกิจแบบผลงานปีที่แล้ว (ซึ่งก็เป็นคนละทีมงานกันด้วย) และให้ประสบการณ์รูปแบบ Single-player เพียวๆ เลย สายเนื้อเรื่องน่าจะรู้สึกดีใจเพราะมี Lore ตามฉากให้เก็บเพียบ
【เกมเพลย์】
ตัวละครของเรามีรูปแบบการบังคับที่ใช้ศักยภาพของตัวเอกเต็มที่มาก เพราะ Star-Lord เองที่เด่นด้านการใช้ปืนพลังงานจิ๋วก็อาศัยการโจมตีแบบนี้นั่นแหละ ผู้เล่นจะสามารถวิ่งไปมา – กระโดดข้ามหรือปีนป่ายสิ่งกีดขวางอย่างคล่องแคล่ว พร้อมใช้รองเท้าเจ็ทไว้บูสต์หากหลุมตรงหน้ามีขนาดใหญ่ โดยการโจมตีแบ่งออกเป็นรูปแบบประชิดที่ให้เราเตะต่อยไปมา หรือจะใช้ปืนที่มีกระสุนไม่จำกัดก็ได้ เช่นเดียวกับทักษะพิเศษเฉพาะตัว โดยความสามารถต่างๆ เหล่านี้จะมีตัวเลือกอัปเกรดสองชนิดคือ Perk ตัวละครที่จะต้องเก็บชิ้นส่วนมาปลดล็อคตามจุดเวิร์คช็อปในเนื้อเรื่อง (เดินๆ ไปแปบนึงก็เจอแล้ว) หรือค่าสกิลพอยต์ที่จะเพิ่มขึ้นตามเกจ EXP เมื่อเราต่อสู้กับศัตรูในซีนนั้นๆ เสร็จ ใช้เพื่อปลดล็อคท่าต่อสู้และคำสั่งพิเศษของ Guardian Mode ส่วนปืนพลังงานจะติดตั้งธาตุอื่นๆ ได้เช่นกัน
ระหว่างเล่นเรายังมีแว่นตาเรืองแสง ‘Visor’ ของ Star Lord ไว้เปิดเพื่อสแกนสภาพแวดล้อมรอบข้างด้วย ซึ่งบางครั้งหากติดขัดตรงไหนก็จะต้องส่องหาดูเบาะแสสำคัญ โดยจะสแกนได้ทั้งวัตถุดิบชิ้นส่วนต่างๆ หรือศัตรูเมื่อทำการอัปเกรดเสร็จ ถ้าเราอัปเกรดสแกนไว้ใช้กับศัตรูแล้วจะมีการสโลว์ฉากลงให้เราหาจุดอ่อนด้วย และเมื่อเราเปิด Visor ปุ๊บก็จะมีการบอกทิศทางของเป้าหมายที่ควรไปเหมือนกัน
แต่เมื่อเป็นเกม Guardians of the Galaxy แบบนี้ แน่นอนว่า Star-Lord ไม่ได้มาเพียงคนเดียวเพราะ ‘อ้ายมาห้าคน (ตัว)’ เราจะสามารถกด L1 เพื่อเรียก Guardian Mode ขึ้นมาเอาไว้ใช้สกิลพิเศษของพรรคพวก ซึ่งปกติพวกเขาจะต่อสู้ด้วยท่าโจมตีของตัวเอง แต่ท่าทางเหล่านี้ก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อย เพราะสกิลลูกทีมเราจะมีประโยชน์ในแบบที่จำเพาะเจาะจงไป เช่น Groot ที่ซัมมอนรากไม้มายึดศัตรูให้เป็นเป้านิ่ง หรือ Gamora ที่อาศัยความเร็วในการฟันศัตรูอย่างรุนแรง และยังมีสกิลอย่างอื่นที่ให้ปลดล็อคด้วยค่าสกิลพอยต์เช่นกัน นอกจากนั้นแล้วหากเลือกการออกท่าดีๆ จะทำคอมโบและเพิ่มความรุนแรงของดาเมจศัตรูได้หลายเท่าทีเดียวครับ หากนึกภาพไม่ออกให้ลองจินตนาการถึง Final Fantasy XV แพทช์แรกๆ ที่ป้อนคำสั่งลูกทีมของเจ้าชาย เป็นสไตล์นั้นเลยครับ ทว่า… ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าท่าโจมตีมีให้ปลดล็อคน้อยไปนิดเหมือนว่าสู้ๆ แล้วจบๆ ไป คือมันก็สนุกนะแต่ถ้ามีท่าทางแฟนซีกว่านี้คงทำให้แฟนแฮปปี้ขึ้น
นอกเหนือไปจากการต่อสู้ระหว่างที่เราเดินทางในช่วงที่ไม่มีศัตรูมากวนใจ ผู้เล่นจะได้เดินไปในดันเจี้ยนหรือฉากต่างๆ คล้ายกับเกมแนวผจญภัยแพลตฟอร์มเมอร์ มีการปีนป่าย วิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางมากมาย บางจุดเราอาจจะเจอปัญหาเล็กน้อยเช่นทางเดินมีหลุมกว้างชนิดที่ต่อให้ Star-Lord พุ่งเจ็ทไปก็ร่วง เราจะสามารถเลือกใช้ Guardian Mode ได้เช่นกัน ซึ่งแต่ละคนก็มีประโยชน์แตกต่างกันไปอย่างที่กล่าวไว้ การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เหมาะสมเช่นถ้าหากมีแผงไฟขัดข้องก็เรียก Rocket มาซ่อม หรือว่าเจอเศษก้อนหินถล่มชิ้นใหญ่ จะเรียก Drax มาย้ายไปวางที่อื่นหรือเพื่อปีนขึ้นที่สูงเป็นต้น อีกทั้งบางทีลูกทีมอาจจะคุยกันเราก็จะมีช่องเลือกความเห็นด้วย ขอบอกว่าเป็นสิ่งสำคัญเพราะการตัดสินใจของเรามันคือการเชปอัปเนื้อเรื่องให้เป็นประสบการณ์ของตัวเอง ความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆ ที่จะมีให้กับ Star-Lord (สั่งให้ Drax โยน Rocket ไปแก้ปริศนาก็อาจจะโดนด่ากราดได้) พร้อม QTE ใส่มาเป็นระยะ
【ฮาแตกแจกมุกไม่หยุด】
ต้องแยกออกมาเป็นหมวดใหม่เลยจริงๆ ครับเพราะว่าเกมนี้เหมือนกับสื่อรูปแบบอื่นๆ ของ Guardians of the Galaxy ที่เน้นฮาแตกเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นสงครามน้ำลายในเนื้อเรื่อง ฉากโบ๊ะบ๊ะของ Rocket และ Star-Lord ที่โผล่มาแบบไม่มีพัก แม้ว่าจะมีระคนบางจุดที่รู้สึกหน่วงๆ บ้างแต่โดยรวมแล้วมีความไลท์ฮาร์ตแบบเต็มๆ ชนิดที่เล่นไปยิ้มไปจนคิดว่าอะไรคนมันจะเป็นบ้าได้ขนาดนี้ แม้กระทั่งตอนที่ฝ่าอันตรายกันมา หากไม่เล่นมุกเจ็บตัวซะเอง ก็จะเป็นเพื่อนๆ ในทีมที่รอเสียบมาย่ำยีเราแทน
ความตลกไม่ได้มีแค่ในเนื้อเรื่องเท่านั้น แต่ยังส่งผลมาถึงเกมเพลย์ด้วย! ระหว่างที่เราต่อสู้กับศัตรูแล้วชาวแก๊งของเราดันพลาดท่ากองไปกับพื้นกันหมด ผู้เล่นจะสามารถกดปุ่ม L1+R1 เพื่อใช้โหมด Huddle (รอเกจเต็มก่อน) จากนั้นทุกคนจะวิ่งพรวดพราดเข้ามาหาเราทันทีพร้อมตั้งวงคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าพวกศัตรูทำไมมันถึงดุร้ายอย่างนี้ รู้สึกเหมือนโดนเหยียดหยาม หรือบทสนทนาประหลาดเชิงน้อยใจชีวิตต่างๆ นานา เราจะมีเวลาจำกัดในการเลือกคำตอบที่จะช่วยสร้างพลังใจ หากตอบถูกทั้งทีมก็จะได้รับ Perk พิเศษพร้อมเล่นเพลงยุคดิสโก้เหมือนเป็นการปล่อยอัลติ แต่ถ้าตอบผิด Star-Lord จะได้คนเดียว… พร้อมกับโดนลูกทีมด่าไปอีกต่อว่าพูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง จุดนี้ต้องอาศัยความเข้าใจจากคำพูดของพวกเขาว่าต้องการให้เราช่วยเสริมสร้างความมั่นใจด้านไหน เพราะไม่งั้นเราจะกลายเป็นไลฟ์โค้ชที่ไม่มีประโยชน์อันใดไปทันที (แป่ว)
【กราฟิกและดนตรี】
ในแง่กราฟิกถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ ไม่ว่าจะเล่นบน PlayStation 4 หรือ PlayStation 5 สังเกตได้ว่าคุณภาพโมเดลอยู่ในระดับที่ดีเหมือนกันหมดทั้งตัวละครและสภาพแวดล้อม ซึ่งแพลตฟอร์มเน็กซ์เจ็นเองในอนาคตจะมีการเพิ่มระบบรองรับ Ray-tracing สร้างความทรงพลังให้งานภาพมาขึ้นไปอีกระดับ การออกแบบคอสตูมของตัวละครแบบใหม่หมดจดส่วนตัวแล้วมองว่าดึงเอกลักษณ์ของตัวละครมาได้ชัดเจนไม่บดบังความคลาสสิก ยกตัวอย่างเช่น Star-Lord เราจะเห็นว่าอิงจากการ์ตูนยุคพลังที่สวมเสื้อยืดเทาพร้อมแจ๊คเก็ตหนังสีน้ำตาลแดง ส่วน Gamora เองก็มีทรงผมที่เฟี้ยวกว่าเดิมให้ความรู้สึกของการเป็นหญิงแกร่ง
ที่ต้องชมคือเรื่องของดนตรีเพราะว่าเกมมีการนำเพลงลิขสิทธิ์จากยุค 70 – 80 มาใส่หลายต่อหลายเพลงเลยไม่ว่าจะเป็น Never Gonna Give You Up, Tainted Love และ Wake Me Up Before you Go Go หากจะถามเพลงที่ชอบที่สุดคงเป็น Everybody Wants to Rule the World ควบคู่ไปกับเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่สไตล์เมทัลโดยวง ‘Star-Lord’ ที่ฟังแล้วให้อารมณ์เพลงร็อคมันส์ๆ สมัยเก่าแบบไม่ผิดเพี้ยน ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้การเดินทางของเหล่าการ์เดี้ยนมีเสน่ห์มากกว่าเดิมสวนทางกับภาพของความล้ำสมัยในเกม (สังเกตว่าเพลงลิขสิทธิ์บางเพลงมีดนตรีที่ให้ความ Futuristic อยู่ในตัว)
【We got this, probably】
ความติดขัดอยู่ที่เกมตั้งใจจะใส่องค์ประกอบเกมเพลย์มามากจนรู้สึกว่าเกินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการสำรวจพื้นทีต่างๆ ที่สามารถเรียกเพื่อนออกมาช่วยแก้ไขในสิ่งกีดขวางต่างๆ ซึ่งความจริงแล้วแค่ปุ่มคำสั่งเดียวก็น่าจะเพียงพอ แต่เราจะต้องมาเลือกด้วยว่าต้องเป็นใคร เพราะสมมติว่าต้องการให้ Groot ทำสะพานแต่ไปเลือก Drax แทน เขาก็จะพูดอยู่ดีว่า ‘ทำไม่ได้’ และให้เราเลือกใหม่โดยตัดตัวเลือก Drax ออกไป จุดนี้คิดว่าไม่จำเป็นสักเท่าไหร่และกลายเป็นว่าเพิ่มขั้นตอนมาโดยใช่เหตุ ถัดมาที่ระบบการ Huddle ที่ด้านบนกล่าวถึงไว้แล้ว จุดนี้ฟังดูสร้างสรรค์ดีแต่ถ้าเราต้องทำบ่อยๆ ก็อาจจะมีเบื่อบ้างเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ใช่ระบบที่โผล่มาให้กดได้เรื่อยๆ ก็ตาม ยังไม่รวมถึงการสแกนอีกนะ! ทั้งนี้โดยรวมแล้วเกมอยู่ในสถานะที่ดีและเอาใจคอแอคชั่นได้อย่างเต็มพิกัด ทว่าความ ‘เยอะ’ ของเกมอาจทำให้ประสบการณ์การเล่นของเราสะดุดไปได้นั่นเอง
ขอขอบคุณ BANDAI NAMCO Entertainment Asia และ Square Enix สำหรับตัวเกมเวอร์ชั่นรีวิวที่ได้นำมาแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆในบทความนี้ครับ
บทสรุป
Marvel's Guardians of the Galaxy มีการใส่ความขบขันปนดราม่าสุขเศร้าเคล้าน้ำตามาได้ดี ที่่น่าชื่นชมมากที่สุดและขาดไปไม่ได้เลยก็คือตัวเลือกการปรับความยากง่ายของเกมที่ละเอียดมากๆ ปรับได้แม้กระทั่งดาเมจทำให้ใครๆก็สามารถเล่นเกมนี้ได้ - 8.8
8.8
คะแนน
ความติดขัดอยู่ที่เกมตั้งใจจะใส่องค์ประกอบเกมเพลย์มามากจนรู้สึกว่าเกินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้และระบบการ Huddle ที่กล่าวไว้มีความจุกจิกเกินไป ทำให้เกมมีความเยอะในบางจุดและทำเกมสะดุดได้