แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาในปัจจุบันแต่ต้องยอมรับว่ากระแสของ PS5 ยังคงไม่เสื่อมลงไปจากวันแรกที่ทำการเปิดตัวออกมาเมื่อ 2 ปีก่อน แต่หนึ่งในสิ่งที่ทาง Sony อาจจะมองข้ามไปในช่วงที่ผ่านมาอาจเป็นเรื่องของจอยสำหรับใช้งานที่เรามักจะเห็นการออกรุ่นพิเศษร่วมกับเทศกาลและเกมต่าง ๆ มาเพียงอย่างเดียว จนในที่สุดพวกเขาได้ทำการเปิดตัวจอยสำหรับเกมเมอร์ตัวจริงที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่ล้ำยิ่งขึ้นไปออกมาในชื่อ DualSense Edge จอยเล่นเกมที่มาพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานรอบด้าน
Design
มองจากภาพรวมของ DualSense Edge เราอาจจะไม่ได้เห็นความต่างที่แปลกตาไปจากเดิมนัก อย่างไรก็ตามถ้าไล่ไปในรายละเอียดแต่ละจุดจะพบว่ามีส่วนที่ต่างกันค่อนข้างชัดเจน ซึ่งเราจะไล่เรียงไปให้เห็นถึงข้อแตกต่างกันแต่ละจุดให้ได้ทราบกัน
มาเริ่มกันที่ด้านหน้าส่วนแรกที่เราเห็นความต่างคือบริเวณผิวสัมผัสด้านหน้าที่ใช้สำหรับสัมผัสและกดอันเป็นแผงด้านบน DualSense Edge มาพร้อมกับการใช้งานสีดำพร้อมรายละเอียดบนพื้นผิวที่มีสัญลักษณ์อันคุ้นตา เมื่อลองเลื่อนนิ้วผ่านจะสัมผัสได้ถึงพื้นผิวได้ชัดเจน แตกต่างจากของเดิมที่เป็นพื้นผิวแบบราบเรียบสนิทกันไป
หากไม่นับเรื่องของสีปุ่มกดทั้งสองฝั่งที่ในรุ่นใหม่เลือกใช้งานสีดำแทนที่จะเป็นสีขาว คงต้องบอกว่าระยะการกดของปุ่มแต่ละตำแหน่งไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สัมผัสยังคงเป็นแบบเดียวกันกับ DualSense รุ่นปกติที่ใช้งานกันมาโดยตลอดระยะเวลานับตั้งแต่เปิดตัว
เลื่อนลงมาจะพบกับอีกหนึ่งความพิเศษที่ DualSense Edge มีมาให้ได้เล่นกันคือปุ่มฟังก์ชั่นที่ยื่นออกมาด้านล่างหากใครที่คิดไม่ออกว่าหน้าที่พื้นฐานของมันคืออะไร ก็ขอให้นึกถึงปุ่ม Fn ที่มีในโน้ตบุ๊คเพื่อเอาไว้กดบวกกับปุ่มอื่นเพื่อเรียกใช้งานฟีเจอร์หรือทางลัดพิเศษนั่นเอง อย่างเช่นหากเรากดปุ่มฟังก์ชั่นด้านซ้ายค้างไว้พร้อมกับกดปุ่ม O จะเป็นการเลือกโปรไฟล์การทำงานของจอยเป็นอีกแบบ
ด้วยความที่ DualSense Edge เป็นจอยระดับสูงที่สามารถปรับแต่งปุ่มกดได้อิสระฉะนั้นเราสามารถที่จะเปิดแผ่นปิดคอนโซลตรงกลางขึ้นมาเพื่อที่จะดูส่วนประกอบภายในเบื้องต้นได้ รวมถึงดึงส่วนประกอบต่าง ๆ ออกมาได้แต่ในกล่องที่ให้มาเราจะเปลี่ยนได้เฉพาะปุ่มกดด้านบนของแต่ละด้านได้เพียงเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการเปลี่ยนสัมผัสในการกดแล้ว อีกทั้งยังช่วยให้นึกถึงจอยในอดีตของ Sony อีกด้วย
ปุ่มที่มีการให้มาจะมีระดับความสูงที่แตกต่างกันเราสามารถที่จะผสมหรือใช้งานแต่ละอันไม่พร้อมกันได้ตามแต่ความถนัด ขั้นตอนการเปลี่ยนไม่ยากเพียงแค่ดึงส่วนบนขึ้นมาตรง ๆ จากนั้นเมื่อจะใส่ลงไปอีกครั้งเพียงแค่หมุนหาองศาเล็กน้อยและกดลงไปให้ได้ยินเสียงคลิ้กเป็นอันพร้อมใช้งาน
บริเวณด้านล่างของส่วนที่เราใช้จับตัวจอยจะเป็นแบบเต็มรูปทรงไม่ได้เป็นแบบท้ายตัดเหมือนกับรุ่นปกติ ส่วนตัวค่อนข้างที่จะชอบแบบของ DualSense Edge มากกว่าเนื่องจากเวลาใช้งานจับได้ถนัดมือมากกว่า
พลิกกลับมาดูด้านหลังจะเห็นถึงความแตกต่างกันอย่างชัดเจน DualSense Edge มาพร้อมกับช่องและปุ่มสำหรับกดเพื่อปรับแต่งต่าง ๆ มากมายเริ่มกันที่ด้านล่างเป็นปุ่มที่ใช้สำหรับเลื่อนเพื่อเปิดแผงคอนโซลด้านหน้าของจอย
ขยับขึ้นมาจะเห็นช่องว่างอยู่ที่สองด้านเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งปุ่มพิเศษสองปุ่มที่ให้มาภายในกล่องโดยจะเป็นแบบปุ่มเล็กสั้นกับปุ่มแบบแผงยาว หน้าที่การทำงานสามารถเข้าไปปรับแต่งได้จากซอฟต์แวร์ภายในเครื่องโดยตรง ส่วนการใช้งานขึ้นอยู่กับเกมและความถนัดของแต่ละคน
ด้านบนจะเห็นว่ามีปุ่มสำหรับเลื่อนอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ นั่นเป็นปุ่มเพื่อกำหนดความลึกในการกดปุ่ม R2 และ L2 แต่ละด้าน โดยที่หากปรับไว้ด้านบนจะเป็นการทำให้ปุ่มกดในค่าพื้นฐานแบบเดียวกับ DualSense แต่หากปรับระดับลงมาความลึกของปุ่มกดจะน้อยลงตามไปด้วยช่วยในเรื่องของการตอบสนองและสัมผัสการกดที่แตกต่างกันในแต่ละเกม หากเป็นเกมแนว FPS การปรับให้ระยะกดน้อยที่สุดอาจจะเหมาะกว่าแบบพื้นฐาน
พอร์ตการเชื่อมต่อด้านบนยังคงเป็นพอร์ตเดิมเพิ่มเติมคือเราจะเห็นช่องว่างที่เป็นรูสองด้านภายใน DualSense Edge ช่องดังกล่าวมีไว้สำหรับอุปกรณ์เสริมที่ให้มาภายในกล่องอย่างตัวล็อคสายเพื่อไม่ให้สายเกิดหลุดเวลาใช้งานขณะชาร์จ จากการทดลองดึงดูต้องยอมรับว่าทำออกมาได้แน่นจริงไม่สามารถที่จะดึงให้ออกได้
พื้นผิวโดยรอบไม่ได้มีการเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก มีเพียงแผงคอนโซลกลางที่จากสัมผัสด้านถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแบบมันวาวตามสไตล์ Piano Black แต่ปุ่ม R2 และ L2 ถูกทำให้เป็นแบบสีด้านแทนใน DualSense Edge แต่ของเดิมจะสลับตำแหน่งกัน
Software
การจัดการและตั้งค่าต่าง ๆ เราสามารถที่จะทำได้ผ่านหน้าการตั้งค่าภายใน PS5 ได้โดยตรง ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้นเนื่องจาก DualSense Edge ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้กับตัวเครื่องโดยเฉพาะนั่นเอง
วิธีเข้าไปตั้งค่าเราสามารถที่จะกดทางลัดจากปุ่ม PS บนจอยได้โดยตรงหรือจะเป็นการเข้าผ่านการตั้งค่าตัวเครื่องปกติได้เลย เมื่อเข้ามาเราสามารถที่จะปรับแต่งได้ค่อนข้างที่จะอิสระไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าปุ่มกดแต่ละส่วนตามแต่ใจต้องการ อย่างไรก็ตามมันยังไม่สามารถที่จะทำการตั้งแบบมาโครเหมือนกับในพีซีได้ เป็นเพียงการตั้งค่าปุ่มสลับตำแหน่งกันไปมาเท่านั้น
นอกจากนี้เราสามารถที่จะตั้งค่าสิ่งที่เรียกว่า Deadzone ได้อีกด้วย เป็นการตั้งค่าปุ่มกด R2 และ L2 เพื่อให้มีระยะว่างที่กดลงไปแล้วจะไม่เกิดอะไรขึ้นจนกว่าจะถึงช่วงที่เรากำหนดเอาไว้ว่าให้ตัวปุ่มทำงาน ช่วยลดข้อผิดพลาดเวลาที่เราเผลอไปกดปุ่มโดยไม่ตั้งใจได้ค่อนข้างดี
ขณะเดียวกันยังสามารถที่จะใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวร่วมกับปุ่มสติ๊กแต่ละด้านได้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงยังสามารถที่จะปรับโหมดการทำงานของแต่ละด้านให้การเลื่อนไปมาออกมาในรูปแบบใด
การตั้งค่าอื่น ๆ อย่างเช่นเรื่องของความแรงในการสั่นและเอฟเฟกต์การตอบสนองมีให้ปรับแต่งได้เช่นกัน ขณะเดียวกันเราสามารถที่จะกดปุ่มฟังก์ชั่นด้านขวาค้างเวลาอยู่ภายในเกม และกดปุ่มเมนูด้านบนขวามือเพื่อเข้ามาตั้งค่าสำหรับแต่ละเกม ณ เวลานั้นได้ทันทีอีกด้วย หรือหากใครที่ต้องการสร้างโปรไฟล์เอาไว้โดยเฉพาะก็สามารถที่จะทำได้แล้วเวลาเลือกใช้งานเพียงแค่กดปุ่มฟังก์ชั่นซ้ายร่วมกับปุ่มด้านขวาของจอยตามที่กำหนดก็เป็นอันเรียบร้อย
เมื่อเรากดเปลี่ยนโปรไฟล์ที่ touchpad ตรงกลางจะมีไฟบอกสถานะการใช้งานให้เราทราบด้วยหลังจากที่เปลี่ยน เราสามารถที่จะตั้งค่าโปรไฟล์พื้นฐานในการเปลี่ยนได้ทั้งหมด 4 โปรไฟล์ด้วยกัน
Experience
DualSense Edge หลังจากที่ได้ทดลองใช้งานมาพบว่ามันเป็นจอยที่ใช้แล้วค่อนข้างที่จะน่าสนใจ อย่างแรกที่ชอบคงหนีไม่พ้นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บริเวณที่เราใช้จับที่ไม่ได้ตัดท้ายทิ้งออกไปเหมือนรุ่นปกติ มันช่วยเพิ่มความประทับใจอย่างมากในตอนที่ได้ใช้งานครั้งแรกเทียบกับแบบเดิมที่มีการตัดออกไป แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับการเล่นแต่สัมผัสที่เราได้นี่คนละเรื่องกันเลย
ตามมาด้วยความง่ายในการเปลี่ยนโปรไฟล์ที่กดเพียงแค่ปุ่มฟังก์ชั่นตามด้วยปุ่มด้านขวา ไม่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยากอะไรเวลาที่ใช้งานจริง แต่ถ้าจะให้ดีทาง Sony น่าจะทำให้การกดปุ่มฟังก์ชั่นด้านซ้ายเพียงรอบเดียวเป็นการเปลี่ยนโปรไฟล์การเล่นไปเลยน่าจะดีกว่าและวนรอบโปรไฟล์ไปเรื่อย ๆ เมื่อกด แต่นั่นอาจจะทำให้เสียเวลาและเกิดความเข้าใจผิดได้ เรื่องนี้คงอยู่ที่มุมมองของผู้ใช้งานแต่ละรายว่าคิดเห็นกันอย่างไรและถนัดแบบไหนมากกว่า
ระบบการสั่นและการตอบสนองหากคุณเล่นเกมแข่งรถอย่าง Dirt 5 หรือ Gran Turismo 7 แล้วเปิดการตอบสนองไว้สูงที่สุดกับ DualSense Edge จะรู้สึกได้เลยว่าเหมือนกับได้ไปนั่งอยู่บนรถวิบากหรือรถที่มีช่วงล่างกระด้าง ด้วยความที่เกมแข่งรถส่วนมากจะใช้ปุ่ม R2 เป็นปุ่มหลักในการเร่งเครื่องและ L2 สำหรับเบรก เราจะสัมผัสได้เลยว่าเล่นไปเพียงแค่รอบเดียวหากไม่มือชาไปเลยจากการเล่น ก็อาจจะรู้สึกสบายเพราะเหมือนกับว่ามีคนมานวดมือให้ตลอดเวลา (มันสั่นระดับนั้นจริง ๆ นะถ้าเป็นเกมแข่งรถ)
อย่างไรก็ตามหากเป็นเกมอื่น ๆ ระบบสั่นและการตอบสนองทำออกมาได้ค่อนข้างที่จะดีไม่มากและน้อยจนเกินไป และในส่วนนี้มีความรู้สึกว่ามันทำแรงที่ออกมาจากการสั่นและการตอบสนองได้ดีกว่า DualSense รุ่นปกติ จนบางครั้งก็เกิดความกังวลว่าจะมีชิ้นส่วนไหนหลุดมาหรือไม่ แต่อย่าคิดไปไกลเพราะตัวจอยถูกออกแบบมาดีแล้วว่าสามารถทำแบบนั้นได้
แบตเตอรี่เป็นเรื่องที่แอบน่าเป็นห่วงเล็กน้อยด้วยความที่ขนาดของจอยออกมาไม่ต่างจากของเดิม แต่ระบบสั่นและการตอบสนองที่ดูจะอัปเกรดขึ้น พร้อมปุ่มกดที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม จึงทำให้แบตเตอรี่อาจจะอยู่ได้ไม่นานเท่ารุ่นปกติ จากการทดสอบ DualSense Edge เล่นเกมพร้อมเปิดความแรงในการสั่นและตอบสนองสูงสุดตลอดเวลาต่อเนื่อง 2 ชม.แบบไร้สายแบตจะหายไปแล้ว 1 ขีด จากนั้นทิ้งไว้ข้ามคืนแบบปิดการใช้งานมาเล่นเกมต่อ 1 ชม.พบว่าหายไปอีก 1 ขีด จึงพอจะสรุปได้ว่าฟีเจอร์ที่ยิ่งใหญ่อาจต้องแลกมาด้วยพลังงานที่หายไปบางส่วน
Conclusion
DualSense Edge เป็นจอยที่ถ้าเกิดว่าคุณเป็นเกมเมอร์ที่ต้องการรายละเอียดแบบเก็บครบทุกการเคลื่อนไหวจะต้องชอบมัน ปุ่มกดที่เพิ่มเข้ามาพร้อมกับการปรับระดับปุ่มกดได้จากตัวจอยทันทีช่วยได้อย่างมากในการเล่นหรือแข่งขันจริง ปรับแต่งปุ่มกดได้อิสระอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ระบบสั่นและการตอบสนองที่สะใจมากยิ่งขึ้น แลกกับแบตเตอรี่แลกกันมายังถือว่าคุ้มค่าที่จะใช้งาน สนนราคา 7,790 บาท
ข้อดี
– การออกแบบที่ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้การจับถนัดยิ่งขึ้น
– ปุ่มการทำงานที่เพิ่มเข้ามากว่า 4 ปุ่ม
– ปุ่มระดับการกดของปุ่ม R2, L2 ได้โดยตรงจากตัวจอย
– ปรับหน้าที่ปุ่มกดแต่ละตำแหน่งได้อิสระ
– เลือกโปรไฟล์การทำงานได้มากถึง 4 โปรไฟล์
– พอร์ตชาร์จแบบใหม่ที่มาพร้อมกับตัวล็อกป้องกันการหลุดของสายเวลาใช้งาน
– ระบบสั่นและตอบสนองที่รุนแรงและสะใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
– มีตัวเลือกสำหรับเปลี่ยนปุ่มสติ๊กมาให้
ข้อสังเกต
– แบตเตอรี่เมื่อใช้งานในโหมดไร้สายหมดเร็วกว่ารุ่นปกติ
– ปุ่มที่เพิ่มเข้ามาอาจไม่ได้ใช้งานจริงในทุกสถานการณ์
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง Sony ประเทศไทยที่ได้ทำการส่ง DualSense Edge มาให้เราได้ทำการทดสอบใครที่สนใจสามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ตามช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ และร้านค้าไอทีชั้นนำทั่วไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : [คลิก]
ผู้เขียน – Artherlus