คนมันใจพอ! Microsoft ย้ำชัด Call of Duty ยังอยู่กับ PlayStation อีกยาว
ไม่ต้องกลัวมาจะมีการผูกขาดหรือดึงไปเป็นเอ็กคลูซีฟ
ต้องยอมรับเลยว่าเป็นดีลที่แฟนๆ ให้ความสนใจไม่ว่าจะเป็นฝั่งของ PlayStation หรือ Xbox ที่เป็นฝ่ายเข้าซื้อค่ายเองสำหรับกรณีของ Activision – Blizzard ที่เตรียมมาเสริมทัพให้กับ Xbox Game Pass พร้อมมอบกำลังในการทำเกมมือถือให้ในอนาคต แต่กระนั้นแล้วก็ยังคงมีการเพ่งเล็งจากเกมเมอร์ค่ายศรัทธาที่ยังกังวลว่าเกม Call of Duty ภายใต้การดูแลของ Activision จะมีชะตากรรมอย่างไร
ล่าสุด มีการเปิดเผยจาก Phil Spencer หัวเรือใหญ่ใจเด็ดจากฝั่ง Xbox อีกครั้งว่า Microsoft ยังคงมีความต้องการที่จะให้เกม Call of Duty วางจำหน่ายบนเครื่องเล่นเกมเครือ PlayStation ต่อไปอีกนาน พร้อมย้ำว่าถึงแม้สัญญาสิทธิ์พิเศษของ Sony จะหมดอายุลงไปในอนาคต เกมก็จะยังเปิดให้เล่นกันครบทุกแพลตฟอร์มอยู่ดีหลายปีเลย เรียกได้ว่าไม่ต้องกังวลกันว่าถ้าหากเข้าซื้อเสร็จปุ๊บแล้วจะปิดประตูใส่แฟนคลับค่ายอื่นดังปัง
อย่างไรก็ตาม Phil ย้ำว่าคอนเทนต์ของเกม PlayStation และ Xbox จะมีสัดส่วนเท่ากัน ซึ่งนั่นอาจหมายความว่าสิทธิ์เอ็กคลูซีฟต่างๆ เช่นสกิน ลวดลายอาวุธ หรือการเข้าถึงโหมดต่างๆ ที่มักจะให้ Sony ได้เล่นก่อนกันเป็นปีก็จะไม่มีอีกต่อไป และไม่ว่าจะเล่นจากเครื่องไหนก็จะได้ความสนุกทุกอย่างอย่างเท่าเทียม ตรงนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างโอเคเลยทีเดียวเพราะมีแฟนๆ หลายคนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มัดมือชกและผูกขาดกับฝั่งค่ายน้ำเงินกันมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว
สำหรับรายงานเกี่ยวกับสัญญาปัจจุบัน Call of Duty จะยังคงมีการมอบสิทธิ์เอ็กคลูซีฟบนเครื่องเล่นเครือ PlayStation ไปอีกอย่างน้อย 2 – 3 ภาค ซึ่งน่าจะกินเวลาประมาณหนึ่งหลังจากการเข้าซื้อของ Activision – Blizzard เสร็จสิ้น จากนั้นแล้ว Call of Duty ก็จะถูกจัดจำหน่ายภายใต้ Xbox พร้อมมอบปริมาณคอนเทนต์ที่เท่าๆ กันแบบไม่ต้องกังวลว่าเครื่องเล่นไหนได้ไอเทมพิเศษชวนให้หงุดหงิด ซึ่งเป็นความยุติธรรมที่ Phil ย้ำจุดยืนให้เราได้ยินกันเสมอถึงสิทธิ์ในการเข้าถึงเกม
อีกด้านหนึ่งดีลการเข้าซื้อธุรกิจของ Microsoft ได้เริ่มมีการประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งทาง Xbox มีความต้องการที่จะรวบรวม Activision Blizzard และ King เข้าไว้ด้วยกันเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ตลาดเกมอันยิ่งใหญ่และบริการ Game Pass ในอนาคต โดยมีมูลค่าถึง 2.3 ล้านล้านบาทกันเลยทีเดียวและคาดการณ์ว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 หากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน ยังไงก็อย่าลืมมาลุ้นกัน