ยกระดับกราฟิก ความลื่นไหลที่จับต้องได้ และโหมดถ่ายรูปที่พร้อมโชว์ของ
Final Fantasy VII Remake Intergrade เป็นเกมที่ถูกอัปเกรดมาให้เล่นกันบน PS5 โดยภายในเกมเวอร์ชั่นนี้จะมีการอัปเกรดองค์ประกอบเกมให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เล่นเดิมสามารถอัปเกรดฟรีจากเวอร์ชั่น PS4 เพื่อรับการปรับปรุงกราฟิกและฟีเจอร์เกมเพลย์ได้อย่างไม่เสียค่าใช้จ่าย
และในโอกาสนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสเกม Final Fantasy VII Remake Intergrade และก็ไม่พลาดที่จะนำมารีวิวให้แฟนเกมได้อ่านกันครับ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 และเป็นการรีวิวในวันที่ 10-11 มิถุนายน 2564 หากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีแพทช์ออกมาแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้
การโหลดที่เร็วจนน่าตกใจ ไม่มีเวลาให้วางจอย
สิ่งแรกที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจ และค่อนข้างตกใจภายในเกม Final Fantasy VII Remake Intergrade คือการโหลดเข้าเกมที่ทำได้เร็วอย่างมาก โดยความเร็วในการโหลดเกมเล่นต่อจากเดิมจากหน้าจอหลัก (Title Screen) ไปจนถึงเกมที่เราเซฟไว้ใช้เวลาไม่ถึง 5 วินาที! (สำหรับผู้เขียน) ซึ่งใน PS4 Slim ที่ผู้เขียนเคยเล่นนั้นจะต้องใช้เวลาโหลดมากกว่า 20 วินาทีด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ทดลองเช็คความเร็วในการโหลดในอีกบางส่วน ซึ่งผลที่ออกมาก็น่าประทับใจอย่างมาก เช่น
– การเปิดเกม จนถึงหน้าจอโลโก้ ใช้เวลา 7-8 วินาที
– การโหลดเมื่อเลือก Chapter ใหม่ ใช้เวลา 1-3 วินาที
– การโหลดเมื่อเลือก Skip คัทซีน ใช้เวลา 4-5 วินาที
ความเร็วในการโหลดของเกมนี้เรียกได้ว่าสร้างความแตกต่างให้กับประสบการณ์การเล่นเกมนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าปกติเมื่อกดโหลดแล้วจะมีเวลาวางจอยเพื่อหันไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่พอมาเล่นเกมนี้บน PS5 แล้วสิ่งที่พบก็คือยังไม่ทันได้วางจอย ก็ต้องเล่นต่อเสียแล้ว ซึ่งถือว่าดีมาก ๆ ครับ
โหมดกราฟิกแบบ Quality ที่ทำให้ภาพ 4K คมชัดบาดตา
มาถึงตัวปรับแต่งกราฟิกแบบแรกที่ผู้เขียนเชื่อว่าถูกใจสายเสพย์กราฟิกอย่างแน่นอนครับ เพราะว่าการปรับให้เกมใช้โหมด Quality นี้จะทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมได้ในความคมชัดระดับ 4K 30FPS แม้ว่าความลื่นไหลจะเท่ากับการเล่นบน PS4 แต่ความคมชัดนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนอย่างมาก
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดภายในการเล่นเกมในโหมดนี้ก็คือ กราฟิกที่คมชัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นโมเดลของตัวละคร หรือโมเดลองค์ประกอบฉากต่าง ๆ ก็ตาม รวมไปถึงพื้นผิวของสิ่งปลูกสร้างหรือสถานที่ต่างๆ ที่เราจะมองเห็นลายพื้นผิวของพวกมันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากนี้เอฟเฟกต์ต่าง ๆ ก็ถูกอัปเกรดให้คมชัดตามไปด้วย โดยการเล่นในโหมด Quality นี้จะทำให้แฟนเกมสะใจในการปลดปล่อยสกิลมากยิ่งขึ้นด้วยแสง สี รวมไปถึงองค์ประกอบภาพอื่น ๆ ที่จะทำให้เกมนี้สวยงามมากยิ่งขึ้น
โหมดกราฟิกแบบ Performance ที่ทำให้เล่นได้ลื่นไหลบาดใจ
ในโหมดกราฟิกแบบต่อมาคือ Performance ที่จะทำให้ผู้เล่นได้เล่นเกมในความคมชัดระดับ 2K 60FPS ซึ่งสำหรับผู้เขียนเองรู้สึกประทับใจกับโหมดนี้มากกว่า เพราะความลื่นไหลที่เห็นได้ชัดเจนนี้ทำให้การเล่นเกมนั้นสนุกมากยิ่งขึ้น โดยการจับจังหวะในการป้องกัน หรือการหลบหลีกที่ทำได้แม่นยำมากขึ้นไปอีก
ในส่วนของกราฟิกโดยรวมนั้น ผู้เขียนมองว่าไม่ได้มีความแตกต่างไปจากโหมด Quality มากจนน่าเกลียด แม้ว่าอาจจะมีคุณภาพของกราฟิกบางส่วนที่ดรอปลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเกมนี้จะดูแย่ลงไปแต่อย่างใด เพราะภาพรวมแล้วกราฟิกของเกมยังสวยกว่าการเล่นบน PS4 อยู่หลายเท่าตัว โดยส่วนตัวผู้เขียนแนะนำว่าโหมด Performance น่าจะตอบโจทย์สำหรับการเล่นเกม Final Fantasy VII Remake Intergrade บน PS5 มากที่สุดครับ
โหมดถ่ายภาพ
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ถูกเพิ่มเข้ามาให้ได้ใช้งานกันภายในเกมนี้ โดยโหมดถ่ายภาพจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้จับภาพสวยงามมาโชว์กันได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้โหมดถ่ายภาพภายในเกมถูกแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ การใช้โหมดถ่ายรูปในฉากสำรวจทั่วไปและฉากต่อสู้ และการใช้โหมดถ่ายรูปในฉากคัทซีนและฉากมินิเกม
ภายในฉากสำรวจทั่วไปและฉากต่อสู้ นั้นผู้เล่นสามารถใช้องค์ประกอบของโหมดถ่ายรูปได้ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นการหมุนมุมกล้อง , การปรับความเอียงของมุมกล้อง , การใส่ฟิลเตอร์ เป็นต้น
ในขณะที่ฉากคัทซีนและฉากมินิเกม ผู้เล่นจะถูกจำกัดในการใช้องค์ประกอบบางส่วน โดยจะเลือกฟิลเตอร์ , ปรับแสงสีได้ แต่ไม่สามารถปรับมุมกล้องได้อย่างไร หากผู้เล่นถ่ายภาพด้วยโหมดนี้จะไม่ทำให้ติดซับไตเติ้ลมาด้วย ซึ่งถือว่าดีมาก ๆ
บทสรุป
โหมดกราฟิกที่เลือกได้ 2 รูปแบบและโหมดถ่ายภาพที่เติมเต็มเกมให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ความเร็วในการโหลดระดับเทพ! - 9.5
9.5
คะแนน
Final Fantasy VII Remake Intergrade ถือว่าเป็นการอัปเกรดตัวเกมที่ดีอยู่แล้วให้ดีมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของกราฟิกภายในเกม รวมไปถึงความลื่นไหลภายในเกมที่ทำให้การเล่นเกมนี้สนุกมากยิ่งขึ้น